บีเอ็มฯยกโรงงานระยองฮับเอเชีย ลุยส่งออกตลาดจีน-ย้ายไลน์มินิไปมาเลย์

บีเอ็มดับเบิลยู วางหมากใช้โรงงานระยองเป็นฮับส่งออกทั้งรถยนต์และจักรยานยนต์ทั่วเอเชีย ปรับย้ายไลน์คันทรีแมนไปไว้มาเลเซีย ทุบสถิติยอดขายปีที่แล้วโตสูงสุดต่อเนื่อง 2 ปีซ้อน ลั่นกลางปีนี้คลอดแบตเตอรี่ไฮบริด 1,000 ลูก พร้อมอวดโฉมรถยนต์ไฟฟ้าต้นปีหน้า

นายคริสเตียน วิดมานน์ ประธานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เปิดเผยว่าบริษัทแม่กำหนดทิศทางให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญทั้งรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูและรถจักรยานยนต์

บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ในภูมิภาคเอเชีย ดังนั้นในปีนี้บริษัทมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตของโรงงานบีเอ็มดับเบิลยูกรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่งประเทศไทยให้มากขึ้น แบ่งเป็นรถยนต์ 15,302 คัน และรถจักรยานยนต์ 3,077 คันซึ่งตลาดใหญ่คือตลาดเอเชียและอาเซียน อาทิ จีน, ฟิลิปปินส์, เวียดนาม และมาเลเซีย โดยแบ่งเป็นรุ่นเอ็กซ์ 5 ราว ๆ 28% และบีเอ็มดับเบิลยูมอเตอร์ราดกว่า 53%

“โรงงานที่ระยองเรามีกำลังผลิตสูงสุดถึง 30,000 คันต่อปี และจักรยานยนต์อีก 15,000 คันต่อปี ซึ่งปัจจุบันถือยังไม่เต็มคาพาซิตี้ ปีนี้เราโฟกัสไปที่ตลาดจีนส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการทำข้อตกลงทางการค้าระหว่างไทย-จีน ซึ่งได้สิทธิพิเศษทางด้านภาษี”

นายวิดมานน์กล่าวอีกว่า บีเอ็มดับเบิลยูยังได้ปรับย้ายไลน์ผลิตรถยนต์มินิ คันทรีแมนไปยังโรงงานมาเลเซีย แต่สำหรับในประเทศไทยคงมีการลงทุนต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปี 2561 ที่ผ่านมาบริษัทใช้งบประมาณลงทุนมูลค่า 816 ล้านบาทยกระดับและเพิ่มศักยภาพความแข็งแกร่งในการผลิต ทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มรถยนต์ปลั๊ก-อินไฮบริด และการเพิ่มเครื่องพิมพ์ 3 มิติซึ่งทำให้แอ็กเซสซอรี่มีความเป็นพรีเมี่ยมมากขึ้น ใช้เม็ดเงินรวมไปกว่า 5,470 ล้านบาท

ส่วนความคืบหน้าโรงงานผลิตแบตเตอรี่แรงดันสูง สำหรับรถยนต์ ปลั๊ก-อินไฮบริด และรถยนต์อีวีนั้น ขณะนี้โรงงานแบตเตอรี่ใกล้แล้วเสร็จ พร้อมเปิดไลน์ผลิตได้ราว ๆ กลางปีนี้ โดยมีแผนจะผลิตแบตเตอรี่ให้ได้มากกว่า 1,000 ลูกในปีนี้ จากนั้นจะค่อย ๆเพิ่มขีดความสามารถไปเรื่อย ๆ เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายที่บริษัทแม่ได้ประกาศภายในปี 2568 จะมีเปิดตัวรถยนต์ทั้งหมด 25 รุ่น แบ่งเป็นรถเพียวอีวี (BEV) ถึง 12 รุ่น และตั้งแต่ปี 2563 จะมีรถยนต์อีวีของบีเอ็มดับเบิลยูออกสู่ตลาดโลก และประเทศไทยก็จะเดินตามทิศทางของนโยบายบริษัทแม่เช่นเดียวกัน

ด้านความสำเร็จของบีเอ็มดับเบิลยูในปี 2561 ที่ผ่านมา จากความต้องการของตลาดรถยนต์ระดับพรีเมี่ยมที่สูงถึง 31,000 คัน โต 13% เมื่อเทียบกับปี 2560 บริษัทมียอดขายรถยนต์

บีเอ็มดับเบิลยู จำนวน 12,036 คัน เพิ่มขึ้น 20% เป็นอัตราเติบโตสูงสุดในบรรดาตลาดบีเอ็มดับเบิลยูทั่วโลก รถยนต์มินิมียอดขาย 1,051 คัน โต 4% และรถจักรยานยนต์บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราดมียอดขาย 2,154 คัน โต 8%

ส่วนปีนี้บริษัทเชื่อว่าจะยังคงมีอัตราการเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน แต่อัตราเติบโตน่าจะลดลงอยู่แค่ระดับตัวเลข 1 หลักเท่านั้น จากความต้องการของตลาดรถยนต์ระดับพรีเมี่ยมที่ประมาณ 30,000 คัน

“เรายังสามารถสร้างประวัติศาสตร์ให้บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ที่ยังมียอดขายสูงสุดกว่าทุกปีผ่านมา”

ล่าสุด บริษัทได้เปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ บีเอ็มดับเบิลยู “ซีรีส์ 3 โฉมใหม่” ซึ่งเป็นรุ่นนำเข้ามาจำหน่ายทั้งคัน หรือ CBU

สำหรับ 320d Sport เครื่องยนต์ดีเซล2.0 ลิตร 190 แรงม้า ราคา 2,959,000 บาทและ 330i M Sport เครื่องยนต์เบนซิน2.0 ลิตร 258 แรงม้า ราคา 3,359,000 บาทโดยตลอดทั้งปีนี้จะขายแต่รุ่น CBU รวมทั้งรถยนต์ BMW Z4 โฉมใหม่ที่นำเข้ามาจำหน่ายทั้งคัน หรือ CBU เช่นเดียวกัน คือรุ่น sDrive30i M Sport เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร 258 แรงม้า ราคา 3,999,000 บาท