ทุกข์ของคนไทย

คอลัมน์ : สามัญสำนึก
ผู้เขียน : สมปอง แจ่มเกาะ

เผลอไปประเดี๋ยวเดียว นี่อีก 4 เดือนก็จะสิ้นปีแล้ว วันเวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน

เวลาอีก 4 เดือน ที่เหลืออยู่ วันนี้ แม้จะมีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศแล้ว แต่ในแง่ของความเป็นจริงก็คงจะทำหรือแก้ปัญหาอะไรได้ไม่มากนัก อย่างที่รู้กันดีว่า บ้านเราปัญหามันหมักหมมมานานหลายปี และหลายเรื่องต้องใช้เวลา ไม่ง่ายเหมือนพลิกผ่ามือ

ไม่เพียงเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศเท่านั้นที่หนัก แต่สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ไม่เป็นใจ ยิ่งกระหน่ำซ้ำเติมให้ปัญหาที่มีอยู่หนักขึ้นเป็นเงาตามตัว

ยิ่งเป็นรัฐบาลผสมร้อยพ่อพันแม่แบบนี้ จะเป็นเหมือนคำโบราณที่ว่า “ก้นหม้อข้าวยังไม่ทันดำ” หรือเปล่าก็ไม่รู้

เท่าที่ได้พูดคุย ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับบรรดาชาวบ้านร้านตลาดมาเป็นระยะ ๆ ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง จนถึงวันนี้ ใคร ๆ ต่างก็ส่ายหน้า บ่นเรื่องค่าครองชีพ ค่าใช้จ่ายในแต่ละวันที่เพิ่มขึ้นไม่หยุด สวนทางกับรายได้มีเข้ามา แต่ละเดือนชักหน้าไม่ถึงหลัง และไม่แปลกใจ ที่จะเห็นภาพ เงินกู้ป้ายรถเมล์ ป้ายเงินกู้เสาไฟฟ้า กลับมาออกดอกบานสะพรั่งทั่วทุกสารทิศ

เริ่มจาก คนอยู่บ้านเช่า อพาร์ตเมนต์ แม้ค่าห้องเช่าจะไม่ขึ้น แต่คิดราคาค่าไฟค่าน้ำตามมิเตอร์ แต่ละเดือนก็ต้องควักกระเป๋าจ่ายค่าไฟเพิ่ม ผลพวงจากค่าไฟที่เพิ่มขึ้น ไม่ต่างจากร้านตัดผม ร้านเสริมสวย ร้านสปา ฯลฯ ที่ต้องจ่ายค่าไฟเพิ่มเดือนละ 500-1,000 บาท

Advertisment

อย่าว่าแต่ค่าไฟฟ้าเลยครับ ราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในช่วงขาขึ้น วันนี้ (29 ส.ค.) โซฮอล์ 95 ทะลุ 40 บาทไปเป็นที่เรียบร้อย ส่วนเบนซินก็ขยับไปเป็น 47.84 บาท คนหาเช้ากินค่ำ ทั้งวินมอเตอร์ไซค์ ทั้งเหล่าไรเดอร์ ต่างก็บ่นกันอุบ เมื่อก่อนเช้าหนึ่ง เติม 80-100 บาท ก็เต็มถังแล้ว แต่เดี๋ยวนี้อย่างต่ำ ๆ ก็ต้องมี 150 หรือต้องควักกระเป๋าเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว

ส่วนคนไม่มีรถมีลาในเมืองกรุงต้องพึ่งรถเมล์ ขสมก. ตอนนี้รถเมล์ครีมแดง 8 บาท ตลอดสาย แม้จะยังมีวิ่งให้เห็นอยู่บ้าง แต่ก็น้อยเต็มที เพราะมีรถเมล์ไฟฟ้า รถเมล์รักษ์โลก ทยอยเข้ามาแทนที่ ซึ่งคิดค่าโดยสารตามระยะทาง ราคาเริ่มต้นที่ 15 บาท หากไกลหน่อยก็ 20-25 บาท ก็ต้องจำใจยอม

Advertisment

ล่าสุด เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ข้าวสาร อาหารหลักที่คนไทยกินกันอยู่ทุกวัน ตอนนี้ก็ปรับราคาขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว ผลพวงจากเอลนีโญ ที่ทำให้เกิดความตื่นตัวและกักตุน เพราะเกรงว่าผลผลิตข้าวจะลดลง เมื่อราคาข้าวเปลือกจากต้นทางขยับ ข้าวที่ปลายทางก็ขยับตาม ทั้งข้าวเจ้าและข้าวเหนียว

ตอนนี้ ใครที่ซื้อข้าวตักข้าวตวงที่ชั่งกิโลขาย ก็จะเห็นว่า ข้าวเจ้าปรับขึ้นประมาณ 3-5 บาท/กิโลฯ ข้าวเหนียวขึ้นมากหน่อย 8-10 บาท/กิโล ส่วนข้าวถุง เอาแค่ถุงละ 5 กิโลฯขนาดยอดนิยมก็ขยับขึ้นไปถุงละ 10-15 บาท บางยี่ห้อ อาจจะขยับไปมากกว่านั้น ที่สำคัญ หากไม่สังเกตก็จะไม่รู้ เพราะราคาที่ปรับขึ้นยังไม่เกินป้ายที่ติดไว้ข้างถุง และยังเหลือช่วงว่างอีกพอสมควรเลยทีเดียว

ร้านขายข้าวแกงข้างถนน ร้านอาหารตามสั่งริมทาง ร้านขายข้าวเหนียวไก่ย่างหมูปิ้ง ฯลฯ หนักหน่อย จะขึ้นราคาก็ยาก ต้องชั่งน้ำหนักคิดแล้วคิดอีก

นี่แค่เรื่องข้าวอย่างเดียว หากมีค่าแก๊ส หรือวัตถุดิบอื่น ๆ ที่จำเป็นขึ้นตามมาอีก คงแย่แน่

ส่วนคนทำมาค้าขาย โดยเฉพาะร้านค้าปลีกค้าส่งในต่างจังหวัดก็ฝืดเคือง ขายของไม่ดี เพราะคนไม่มีตังค์ ต้องรัดเข็มขัด กระเหม็ดกระแหม่กันสุด ๆ ซื้อแต่ของจำเป็น ข้าวสาร กะปิ น้ำปลา

อย่าว่าแต่ของกินของใช้ที่ขายยากเลย แม้แต่ร้านทองก็ประสบปัญหาไม่ต่างกัน ไม่มีคนมาซื้อ มีแต่คนเอามาขาย หลายร้านจึงตัดสินใจทยอยปิดสาขา

นอกจากคนไทยจะทุกข์ยากกับการทำมาหากินแล้ว ที่มาแรงไม่มีแผ่วแม้แต่น้อยก็เห็นจะเป็นปัญหายาเสพติดที่มีขายกันเกลื่อนเมือง ลูกเล็กเด็กแดงเยาวชนของชาติติดกันงอมแงม มีข่าวให้เห็นทุกวี่วัน

วกกลับมาดูรายชื่อคณะรัฐมนตรี ก็ได้แต่ส่ายหน้าและทำตาปริบ ๆ

ไม่รู้ว่าบรรดา ฯพณฯ จะเข้าใจหัวอกคนจนหรือไม่

อนิจจาประเทศไทย จะไปรอดมั้ย !