แผนพัฒนาเศรษฐกิจ ฉบับที่ 13 เริ่มใช้ 1 ต.ค. 65 ชี้วัดรายได้ต่อหัว 3 แสนบาท

เศรษฐกิจ
Mladen ANTONOV / AFP

แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 เริ่มมีผลบังคับใช้ 1 ต.ค. 65 ระยะ 5 ปี ถึงปี 2570 ดัชนีชี้วัดรายได้ประชาชาติต่อหัว 300,000 บาท ลดช่องว่างความเหลื่อนล้ำ คนจน-คนรวย ต่ำกว่า 5 เท่า

วันที่ 31 ส.ค. 2565 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้มอบหมายสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 ซึ่งเป็นแผนระดับที่ 2 ที่แปลงยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติและกำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศในระยะ 5 ปีข้างหน้า ตั้งแต่ปี 2566-2570

ขณะนี้แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ได้ผ่านการรับทราบของรัฐสภาแล้ว โดยที่ประชุมวุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎร ได้มีมติรับทราบเมื่อวันที่ 16 ส.ค. 65 และ 25 ส.ค. 65 ตามลำดับ

น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 30 ส.ค. 65 ได้รับทราบร่างแผนพัฒนาฯ ที่ได้มีการปรับปรุงตามข้อเสนอแนะของหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้แก้ไขในสิ่งที่เป็นสาระสำคัญที่รัฐสภาได้รับทราบไปแล้ว เช่น การปรับปรุงเนื้อความให้มีความถูกต้อง การจัดเรียงลำดับของเนื้อหาของแผนฯ การปรับปรุงตัวชี้วัด ค่าเป้าหมายย่อย และสถานการณ์ให้เป็นปัจจุบัน สอดคล้องกันระหว่างหมุดหมาย และสอดคล้องกับแผนแม่บท ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ เป็นต้น

“หลังจากนี้จะเหลือขั้นตอนสุดท้ายคือ นายกรัฐมนตรีนำแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย และประกาศให้ใช้แผนพัฒนาฯ ฉบับใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 65 เป็นต้นไป” น.ส.ไตรศุลีกล่าว

น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่า เมื่อแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 เริ่มมีผลบังคับ จะเป็นแผนระดับชาติที่รัฐบาลยึดเป็นกรอบการผลักดันการพัฒนาประเทศในระยะ 5 ปีข้างหน้า มีเป้าหมายหลัก 5 ประการ ได้แก่ 1.ปรับโครงสร้างการผลิตสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม 2.พัฒนาคนสำหรับโลกยุคใหม่ 3.มุ่งสู่สังคมแห่งโอกาสและความเป็นธรรม 4.เปลี่ยนผ่านการผลิตและบริโภคไปสู่ความยั่งยืน และ 5.เสริมสร้างความสามารถของประเทศในการรับมือกับความเสี่ยงและการเปลี่ยนแปลงภายใต้บริบทโลกใหม่

“มีตัวชี้วัดความสำเร็จของแผนที่สำคัญ ได้แก่ รายได้ประชาชาติต่อหัวเท่ากับ 9,300 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 300,000 บาท จากปี 2564 ที่ 7,097 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 227,000 บาท ดัชนีความก้าวหน้าของคนอยู่ในระดับสูง เท่ากับ 0.7209 จากปี 2563 อยู่ที่ 0.6501” น.ส.ไตรศุลีกล่าว

น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่า นอกจากนี้ ความแตกต่างของความเป็นอยู่ หรือรายจ่าย ระหว่างกลุ่มประชากรที่มีฐานะทางเศรษฐกิจสูงสุดร้อยละ 10 และต่ำสุดร้อยละ 40 มีค่าต่ำกว่า 5 เท่า จากปี 2562 มีค่าเท่ากับ 5.66 เท่า ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยรวมลดลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 และดัชนีรวมสะท้อนความสามารถในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงมีค่าไม่ต่ำกว่า 100