รูดม่านปิดฉากบนเส้นทางนักการเมืองอาชีพของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ภายหลังประกาศลาออกจาก ส.ส.บัญชีรายชื่อ เพื่อยืนยันจุดยืน ก่อนนำทัพแพ้เลือกตั้ง 62 กลายเป็น “พรรคต่ำร้อย”
“มาถึงวันนี้ ผมก็เหลือทางเดียว ที่จะรักษาเกียรติภูมิ ไม่ใช่เฉพาะของผม แต่เกียรติภูมิของตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พรรคที่มีคำขวัญว่า ‘สจฺ จํ เว อมตา วาจา’ ที่จะต้องรักษาคำพูด และรับผิดชอบต่อคำพูด”
- ทุเรียนทะลักวันละพันตู้ ล้งเบรกซื้อ ฉุดราคาดิ่งเหลือโลละ 135-140 บาท
- นายกฯ โทรเบรก-ระงับใบลากฤษฎา เตรียมแบ่งงานคลังใหม่
- เช็กที่นี่ เบี้ยผู้สูงอายุ พฤษภาคม 2567 เงินเข้าวันไหน
27 ปีบนถนนสายการเมืองของ “อภิสิทธิ์” มีทั้งขมคอ-หวานลิ้น เพราะนำพรรคแพ้เลือกตั้ง 3 ครั้ง เป็นผู้นำฝ่ายค้าน 2 ครั้ง เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง 1 ครั้ง
การประกาศยุติบทบาททางการเมืองของ “อภิสิทธิ์” เป็นการ “วางมือถาวร” หรือ “หยุดไปต่อ” บนสนามเลือกตั้ง-เวทีรัฐสภาเพื่อกลับมาแก้มืออีกครั้ง
“ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์” นักสังเกตการณ์ทางการเมืองวิเคราะห์การลาออกของนายอภิสิทธิ์-บทบาทพรรคเก่าแก่หลังจากนี้
“การลาออกจากตำแหน่งเป็นระลอก ตั้งแต่หัวหน้าพรรค จนมาถึง ส.ส. น่าจะชัดเจนแล้วว่า คุณอภิสิทธิ์คงจะค่อย ๆ ลดบทบาท เหลือเพียงบทบาทสมาชิกพรรค หรือยุติบทบาทภายในพรรคแทบจะสิ้นเชิง โดยเฉพาะบทบาทผู้นำทางการเมือง”
แม้การประกาศล้างมือในอ่างทองคำของ “อภิสิทธิ์” ก่อนเวลาอันควร อาจเพื่อรอเวลา “กลับมาอีกครั้ง” แต่ “ศิโรตม์” ไม่เห็น “ข้อมูลเชิงประจักษ์” เห็นเพียงสัญญาณการลาออกทุกตำแหน่งภายในพรรค เหลือเพียงสมาชิกพรรค
“คุณอภิสิทธิ์คงไม่ได้คิดที่จะกลับมามีบทบาททางการเมืองอะไรอีก ถ้าจะมีอย่างมากก็เพียงแค่อยู่กับพรรคแบบไม่มีตำแหน่ง ไม่ได้เป็นผู้นำทางการเมืองนอกพรรค แต่การแลนดิ้งของคุณอภิสิทธิ์ลงมาเร็ว คนคงคิดว่าเป็นการลงแบบมีแผน”
“การเป็นหัวหน้าพรรคแล้ว ในที่สุดพบว่าพรรคที่ตัวเองเป็นหัวหน้ามีมติตรงข้ามกับตัวเอง ในแง่การนำ คุณอภิสิทธิ์คงประเมินว่า ตัวเองได้สูญเสียการนำในพรรคไปแล้วอย่างสิ้นเชิง ไม่สามารถกลับมานำใครได้แล้ว”
การต่อสู้ครั้งสุดท้ายของอภิสิทธิ์จาก “ปัจจัยภายนอกพรรค” ที่เข้ามาแทรกซึม-กัดกร่อนจนเกิดความแตกแยกภายในพรรค รอวันล่มสลาย-ถูกยึด อาจทำให้อภิสิทธิ์ตัดสินใจกลับมาได้ยากขึ้น
“ปชป.อยู่ในสถานการณ์พิเศษ คือ มีความแตกแยกภายในพรรคสูง เป็นความแตกแยกที่มีการเมืองภายนอกพรรคเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างรุนแรง ทั้งที่เป็นพรรคการเมืองด้วยกันและการเมืองนอกพรรค ทหารการเมือง ยิ่งทำให้คุณอภิสิทธิ์ไม่กลับมามีบทบาทผู้นำทางการเมืองอีก”
ความหวังที่นายอภิสิทธิ์จะ “คัมแบ็ก” เหมือน “ชวน หลีกภัย” ที่กลายเป็นผู้แบกอนาคตพรรคในฐานะ “ผู้นำทางนิติบัญญัติ” อาจจะไม่ง่ายดายนัก
“คุณชวนไม่ได้ลงมาแบบบอบช้ำเหมือนคุณอภิสิทธิ์ คุณอภิสิทธิ์ลงมาแบบพรรคทั้งพรรคมีมติตรงข้ามกับที่คุณอภิสิทธิ์ทำ และคุณชวนลงมาในขณะที่พรรคไม่ได้แพ้เลือกตั้งอย่างหนักหน่วงแบบที่คุณอภิสิทธิ์ลงแบบบอบช้ำหลายเรื่อง ล่าสุดแพ้พังพินาศมาก ต่อให้อยากกลับมาก็ไม่เหลือหน้าตักทางการเมืองให้กลับมาได้อีกแล้ว”
ในทางกลับกันเป็นการก้าวขึ้นสู่ปีที่ 73 ของพรรค ภายใต้การนำของ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” หัวหน้าพรรคคนที่ 8 บนความยากลำบาก ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯอีกสมัย
การไร้เสียง-ไร้ตัวตนบนเวทีสภาผู้แทนราษฎรของ 53 ส.ส. ในระหว่างการเลือกนายกรัฐมนตรี เป็นความเปลี่ยนแปลงแรก ใน “ด้านลบ” เพื่อ “รักษามารยาทพรรคร่วม” มีเพียงบทบาทของ “ชวน” บนบัลลังก์ฝ่ายนิติบัญญัติ
ขณะที่บทบาท ปชป. ต่อไปที่ต้องกอบกู้ศรัทธายังรอเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์และต้องใช้เวลา เพราะต้นทุนทางการเมืองติดลบ-ความน่าเชื่อถือบกพร่องจากการตัดสินใจครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของพรรคประชาธิปัตย์
“หาก ปชป.ไม่สามารถทำให้ประชาชนเห็นว่า ปชป.แตกต่างจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ หรือพรรคจะทำงานอย่างอิสระได้มากกว่าการเป็นหางเครื่อง หรือ องครักษ์พิทักษ์ประยุทธ์ ปชป.จะยิ่งสูญเสียความน่าเชื่อถือมากขึ้นไปอีก หลังจากสูญเสียการนำทางการเมืองไปแล้วอย่างสมบูรณ์”
ธงนำ “ผืนสุดท้าย” ที่มีเหลืออยู่ของ ปชป.ขณะนี้ คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ-เงื่อนไขการร่วมรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ 2/1 เพื่อปลุกขึ้นจากความตกต่ำ
“ต้องมีความกล้าหาญในทางการเมือง ต้องประกาศให้ชัดว่าต้องการแก้รัฐธรรมนูญ ประเด็นใหญ่ เช่น อำนาจ ส.ว. ต้องทำทุกวิถีทางให้สังคมเห็นว่า การร่วมรัฐบาลนั้นได้กดดัน ต่อรองให้ พล.อ.ประยุทธ์ทำตามเงื่อนไข”
แต่การเข้าร่วมรัฐบาลกับ พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้ “พรรคแตก-พรรคพัง” ออกเป็น “สองเสี่ยง” ส่งผลต่ออำนาจการต่อรอง จากจำนวนเสียง เท่ากับภูมิใจไทย (ภท.) แต่ความไม่เป็นเอกภาพทำให้ ปชป.อยู่ในสถานะ “ไม่มีอำนาจต่อรอง” อีกต่อไปแล้ว
“ในแง่ความเป็นจริงอำนาจการต่อรองน้อยกว่า ภท.เยอะ เพราะมีความแตกแยกภายในพรรค ส.ส.กลุ่มหนึ่ง พร้อมเข้าหาผู้มีอำนาจเพื่อต่อรองโดยไม่ผ่านหัวหน้าพรรค เมื่อทั้งสองกลุ่มต่างแยกกันเข้าหาผู้มีอำนาจ ทำให้ไม่มีอำนาจต่อรอง”