เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้าพบหารือกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ว่า วันนี้มาหารือเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนกับภาครัฐใน 4 เรื่อง
เรื่องที่ 1 ส.อ.ท.ต้องการให้สานต่อการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ (กรอ.) ปีละ 2 ครั้ง โดยนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อให้มีเวทีทำงานร่วนกัน
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- เงื่อนไขปุ๋ยลดราคาเฟส 2 สูตรไหน-พืชชนิดใดบ้าง
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
เรื่องที่ 2 การประชุม ease of doing business 2-3 เดือนครั้ง โดยรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ซึ่งที่ผ่านมาภาคอุตสาหกรรมกับภาครัฐได้ทำการกีโยตินกฎหมายจำนวนมากเพื่อยกเลิกกฎหมายที่ไม่จำเป็น
เรื่องที่ 3 การตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐกิจขึ้นมาอีกครั้ง เพราะ ครม.เศรษฐกิจจะทำงานร่วมกับภาคเอกชนได้ดี ซึ่งในมุมมองของภาคเอกชนการประชุม ครม.เศรษฐกิจมีความจำเป็น เพราะจะทำให้ความร่วมมือเกิดความชัดเจนและทำงานง่าย เพราะรัฐบาลนี้มีหลายพรรคการเมือง มีหลายกระทรวง
“ถ้ามีการประชุม ครม.เศรษฐกิจทุกสัปดาห์ก็ดี เพื่อติดตามการดำเนินงาน โดยเฉพาะช่วงนี้ต้องยอมรับว่าการฟื้นฟูเศรษฐกิจต้องเร่ง เพื่อช่วยผลักดันเศรษฐกิจให้ดีขึ้น”
เรื่องที่ 4 การตั้งกองทุนนวัตกรรมจากงบประมาณของภาคเอกชน ทุนประเดิม 1,000 ล้านบาท โดยการสนับสนุนจากภาครัฐในด้านสิทธิประโยชน์ คือ ภาษี โดยสามารถนำเงินบริจาคเข้ากองทุนมาหักค่าใช้จ่ายได้ 3 เท่า
“กองทุนนวัตกรรมจะขับเคลื่อนโดยเอกชนเพื่อสนับสนุนเรื่องนวัตกรรม เรื่องการวิจัยและพัฒนา (R&D) ให้กับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) รวมถึงการร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ เช่น สวทช. วว. หรือมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในเรื่องของ R&D นอกจากนี้ยังจะมีการร่วมมือกับต่างประเทศในการเรื่องเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อปรับตัวรองรับนวัตกรรมและพัฒนาตัวเองเพื่อความอยู่รอด”
นายสุพันธุ์กล่าวว่า สำหรับเรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลควรจะทำ เช่น ราคาสินค้าเกษตรเพื่อให้กำลังซื้อกลับมา เรื่องการเจรจาการค้าเสรีกับต่างประเทศเพื่อชดเชยกับการได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า
ส่วนเรื่องนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท ไม่ได้เป็นประเด็นหลักในการหารือกับนายสมคิด แต่จะเสนอไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมต่อไป
ด้านนายสมคิดกล่าวว่า ที่ผ่านมาได้รับความร่วมมือจาก ส.อ.ท.เป็นอย่างดี ซึ่งสถานการณ์ในวันข้างหน้าเป็นเรื่องท้าทาย เพราะเศรษฐกิจโลกไม่ได้ เศรษฐกิจไทยต้องการการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม
ในวันนี้ ส.อ.ท.ได้ขอให้รัฐบาลช่วยเหลือโดยเสนอให้มีการประชุม ครม.เศรษฐกิจนั้น ได้หารือกับนายกรัฐมนตรีในการจัดตั้ง ครม.เศรษฐกิจที่ประกอบไปด้วยรัฐมนตรีเศรษฐกิจมาร่วมกันประชุมเป็นครั้ง ๆ มีวาระการประชุมที่ชัดเจน โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ไม่จำเป็นต้องประชุมทุกสัปดาห์ ประชุมเฉพาะวาระสำคัญ ซึ่งจะเป็นเวทีช่วยการประสานงานที่ดี เพื่อเพิ่มความมั่นคง เป็นกลไกที่ดีเพราะนายกรัฐมนตรีสามารถสั่งการได้เลย
ส่วนการประชุม กรอ. ปีละ 2 ครั้งเป็นอย่างน้อย เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องการหารือกับภาคเอกชนอยู่แล้ว ซึ่งจะนำเรียน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีต่อไป
ขณะที่การประชุม ease of doing business เป็นการประชุมภายในอยู่แล้ว 2-3 เดือนครั้ง จึงไม่มีปัญหาและอาจจะมีตัวแทนจาก ส.อ.ท.เข้ามาร่วมประชุมด้วย
ส่วนการให้ตั้งกองทุนนวัตกรรมของภาคเอกชน จะส่งต่อไปให้กระทรวงการคลังพิจารณาต่อไป ซึ่งรัฐบาลกำลังผลักดันเรื่อง Cyber port อยู่ด้วยให้เกิดให้ได้กำลังคืบหน้าไปได้ด้วยดี ซึ่งมอบหมายให้นายเทวินทร์ ดูแลในช่วยเริ่มต้น โดยจะมีอยู่ 4 เสาสนับสนุน คือ ราชการ เอกชน ธนาคาร และมหาวิทยาลัย ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับ ส.อ.ท.ได้
นายสมคิดกล่าว่า ขณะเดียวกันได้ขอให้ ส.อ.ท.ช่วยสร้างความตื่นตัวเพื่อรับกับความเปลี่ยนแปลงในภาคการผลิตไทยเนื่องจากในช่วง 3-4 ปีข้างหน้าวิวัฒนาการต่าง ๆ ของเรื่องเทคโนโลยีและดิจิทัลจะเข้าสู่ความเปลี่ยนแปลงในหลายมิติในภาคการผลิตและการค้าของโลก ถ้าภาคเอกชนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงปรับตัวได้เร็วพอทุกคนจะลำบาก
การประเมินของ IMD ล่าสุดสะท้อนให้เห็นว่าการพัฒนาของภาคเอกชนยังไม่เข้มแข็งเท่าที่ควร จึงต้องขอความร่วมมือจาก ส.อ.ท.เพราะเสียงของรัฐบาลเพียงอย่างเดียวไปไม่ถึงอุตสาหกรรมทั้งประเทศเพื่อช่วยเรื่อง Digital Transformation การเพิ่มนวัตกรรมในการผลิต เรื่อง ease of doing business เพื่ออำนวยความสะดวก ไปพร้อม ๆ กันกับกระทรวงอุตสาหกรรม
นายสมคิดกล่าวว่า นอกจากนี้ยังขอให้ ส.อ.ท.ควรจะมีหน่วยงานรับผิดชอบเรื่องเกษตรอุตสาหกรรมโดยเฉพาะเพื่อส่งเสริมเกษตรอุตสาหกรรมยกระดับเกษตรขึ้นเป็นอุตสาหกรรม
ขณะที่เรื่องค่าเงินบาท ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธ.ป.ท.) กำกับดูแลเรื่องนี้อย่างเต็มที่อยู่แล้ว ส่วน ส.อ.ท.ก็ให้ข้อมูลกับ ธปท.อย่างเต็มที่เช่นกัน เพื่อให้ ธปท.มีข้อมูลเพื่อออกมาตรการสกัดเงินต่างประเทศไหลเข้าจากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อไป ส่วนเรื่องค่าแรงไม่ต้องกังวล เพราะเป็นเรื่องของไตรภาคีอยู่แล้ว โดยจะมีการพูดคุยกันว่าค่าแรงเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม ขณะเดียวกันพรรคการเมืองที่หาเสียงไว้ก็ต้องทำตามนั้นอยู่แล้ว แต่การขึ้นค่าแรงต้องมีการยกระดับทักษะฝีมือแรงงาน
“ส.อ.ท.ไม่ต้องกังวลถึงความเปลี่ยนแปลง ขอให้มั่นใจ นโยบายหลักไม่มีการเปลี่ยนแปลงแน่นอน มีแต่ต่อยอดให้ดีขึ้นกว่าเดิม ไม่ต้องกังวลว่าเมื่อเป็นรัฐบาลผสมแล้วจะทำงานลำบากขึ้นหรือเปล่า เพราะเศรษฐกิจไทยอยู่ภายใต้การบริหารของรัฐบาลผสมมากกว่ารัฐบาลพิเศษด้วยซ้ำไป แต่ต้องมีกลไกบางอย่างเพื่อผลักดัน ขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกันอย่างมีพลังเพื่อจะได้มีความร่วมมือกัน”