สมชัย : เตือนภัยสึนามิการเมือง “ประยุทธ์” ยื้อแก้ รธน.ทุกพรรคตายหมู่

สัมภาษณ์พิเศษ

 

ในเวลานี้ “สมชัย ศรีสุทธิยากร” สวมหมวก 3 ใบ

หนึ่ง หมวกของอดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)

สอง หมวกของอดีตผู้สมัคร ส.ส.สมุทรสาคร พรรคประชาธิปัตย์

สาม หมวกของนักวิชาการ นั่งเป็นผู้อำนวยการศูนย์วิจัยการเมืองและการพัฒนา ม.รังสิต

ทั้ง 3 บทบาท “สมชัย” ยังจับตาทุกความเคลื่อนไหวในการเมืองสนามใหญ่ และเล่นการเมืองในแบบของตัวเอง ในฐานะคอมเมนเตเตอร์

และยังพาตนเองเข้าไปคลุกวงในบางครั้งบางคราว เช็กข่าวลึก-ลับ ข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกตั้ง

ล่าสุดเปิดตัวร่วมผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ร่วมกับภาคนักวิชาการ-นักการเมือง 7 พรรคฝ่ายค้าน ในนาม “ภาคีเพื่อรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย”

“ประชาชาติธุรกิจ” สนทนากับ “สมชัย” ในบทหมวก 3 ใบ วิจารณ์การเมืองปัญหาระบบเลือกตั้ง-ปัจจัยความสำเร็จ-อุปสรรคการแก้รัฐธรรมนูญ ที่เขาว่าจะเป็นปัญหาระดับ “วิกฤตสึนามิ”

4 ข้อแย่ระบบเลือกตั้ง

“สมชัย” ในฐานะอดีต กกต. เริ่มต้นด้วยการโยนปัญหาระบบเลือกตั้ง 4 ข้อ ยึดโยงกับรัฐธรรมนูญ 2560 ที่เขาเห็นคาตา 1.บัตรเลือกตั้งบัตรใบเดียว เป็นการจำกัดสิทธิประชาชนในการเลือกตั้ง ให้ตัดสินใจได้อย่างเดียว ส่งผลให้ประชาชนเลือกพรรค มากกว่าเลือกผู้สมัคร ทั้งที่เจตนาการออกแบบตอนแรก คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ต้องการให้ประชาชนสนใจผู้สมัครมากขึ้น

2.เบอร์แตกต่างกันในแต่ละเขต อาจารย์มีชัย (ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ.) พูดว่า ต้องการให้ประชาชนจดจำผู้สมัครได้มากขึ้น ไม่ต้องการให้พรรคใหญ่ได้เปรียบในการหาเสียง แต่ไม่ได้ผล สุดท้ายคนไปดูจุดยืนพรรคว่าจะเลือกเอาหรือไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ ตอบโจทย์ว่าเอาใครไม่เอาใครมาเป็นผู้นำ

3.ยังเกิดปัญหาการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ กกต.ถูกครหาว่าเอื้อให้จัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ เพราะมีพรรคที่ได้ ส.ส. 1 คนเข้าสภาได้หลายพรรค ทั้งที่มีคะแนนเสียงเลือกตั้งทั่วประเทศ 3 หมื่นคะแนน ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ต้อง 7 หมื่นคะแนน

4.เปลี่ยน กกต.จังหวัดมาเป็นผู้ตรวจการเลือกตั้ง ไม่สามารถจัดการทุจริต ไม่เข้าใจความชัดเจนในพื้นที่ ขณะที่การทำงานของ กกต.ที่ดูแลเป็นบอร์ด รอฟังแค่เลขาธิการ รองเลขาฯ เสนอเรื่องมายัง กกต. และตัดสินจากจุดนั้น เป็นองค์กรเชิงตั้งรับ มากกว่าเชิงรุก

“สมชัย” บอกว่า ระบบเลือกตั้งทำให้พรรคใหม่อย่าง อนาคตใหม่-เสรีรวมไทย ได้เปรียบ ไม่ใช่พรรคเก่าแก่ แบบประชาธิปัตย์ พรรคใหญ่อย่างเพื่อไทย

“เพราะการที่อนาคตใหม่ได้ ส.ส.เขตใหม่ หรือ ส.ส.บัญชีรายชื่อจำนวนมากโดยไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้น ภายใต้ระบบดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียเปรียบต่อพรรคใหญ่ และพรรคเก่า คือ เพื่อไทย เสียเปรียบที่สุด แม้ชนะ ส.ส.เขตมากที่สุด แต่ปาร์ตี้ลิสต์ไม่ได้แม้แต่คนเดียว และจะเกิดขึ้นกับ พปชร.ในอนาคต ถ้าเป็นพรรคขนาดใหญ่ มี ส.ส.เขตจำนวนมาก จะไม่ได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์แม้แต่คนเดียว”

“แต่ขณะที่พรรคขนาดกลางอาจแพ้ในเขต แต่มีคะแนนนิยม เก็บคะแนน ส.ส.บัญชีรายชื่อได้ และพรรคเล็ก ๆ จะได้ส้มหล่นได้ ส.ส. เพราะรัฐธรรมนูญเป็นกลไกส่งเสริมให้คนตั้งพรรคเล็ก อาจมีการหลอกคนมาเป็นสมาชิก เป็น ส.ส.สัญญาว่าจะให้ต่าง ๆ ท้ายที่สุดอาศัยกลไกแบบนี้ให้ เบอร์ 1 ในบัญชีรายชื่อ หรือหัวหน้าพรรคได้เข้าสภา”

อนค.ไม่พังเพราะระบบเลือกตั้ง

ในทางตรงกันข้าม ด้วยกลไกรัฐธรรมนูญ 2560 ทำให้พรรคใหม่อย่าง “อนาคตใหม่” เติบโตอย่างก้าวกระโดดในระยะเวลาอันสั้น อาจเป็นเหตุผลให้ถึงคราวพังเร็วก่อนเวลาอันควรหรือไม่

“สมชัย” มองว่า ไม่ควรเรียกว่าพัง ปัญหาไม่ใช่เกิดขึ้นจากระบบการเลือกตั้ง แต่อาจเป็นเพราะการหล่อหลอมคนที่มีอุดมการณ์ที่เหมือนกันยังไม่เกิดขึ้น อาจดึงใครมาเป็น ส.ส.เขต โดยสัมภาษณ์สั้น ๆ ไม่มุ่งหวังชนะเลือกตั้ง เพียงแต่อยากได้คะแนนสักจำนวนหนึ่งเข้ามา แต่พอชนะเข้ามาการที่ไม่รู้จักเขาจริง อุดมการณ์แตกต่างกัน สักพักหนึ่งอาจต้องออกไปเป็นธรรมชาติของทุกพรรคการเมือง

“อนาคตใหม่” กำลังเข้าสู่การปรับตัวแบบเชิงคุณภาพ ทำให้คนที่อยู่เหมือนกันมากขึ้น คนไม่เหมือนก็ต้องออกไป แต่ปัจจัยที่พึงระวังคือ

“การสื่อสารจุดยืนทางการเมือง โดยเฉพาะต่อสถาบัน เป็นโจทย์ที่สำคัญ บางครั้งถ้ายึดมั่นในหลักการ แต่ทำให้คนรู้สึกว่าขาดความเคารพในสถาบันหลักที่สำคัญต่อบ้านเมือง ประชาชนหรือผู้สนับสนุนจำนวนหนึ่งอาจจะถอยจากอนาคตใหม่ไป”

สูตรอมตะ “ไพบูลย์โมเดล”

ในหมวกอดีต กกต. “สมชัย” ตอบข่าวลือเรื่องสมมติฐานการเมืองที่คนการเมืองพูดถึงทุกแห่งหนในเวลานี้ คือ เรื่องพรรคอนาคตใหม่จะถูกยุบ และ ส.ส.บัญชีรายชื่อจะกระจายไปอยู่พรรคต่าง ๆ หนึ่งในนั้นคือ พปชร. ได้หรือไม่

“เคสคุณไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตหัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป ที่ยุบพรรคตนเองไปอยู่กับ พปชร. ย้ายได้ แล้วทำไม ส.ส.บัญชีรายชื่ออนาคตใหม่ย้ายไม่ได้ คุณไพบูลย์ไปอยู่เป็นอมตะ ไม่ต้องไปต่อบัญชีรายชื่อของ พปชร. ไปอยู่ตรงไหนไม่มีใครรู้ เป็น ส.ส.ที่มีความคุ้มครองมากกว่าด้วยซ้ำ และยังไม่มีความชัดเจนจาก กกต. จะต้องรอจนถึงมีการเลือกตั้งซ่อมจากการทุจริต และ ส.ส.พปชร.ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อที่ลดลง แล้วคำถามคือ ระหว่างมาดามเดียร์ (วทันยา วงษ์โอภาสี) ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับสุดท้ายของ พปชร. กับคุณไพบูลย์ ถ้าหากบัญชีรายชื่อ พปชร. ถูกลดหนึ่งคน ใครจะไป ถ้าบอกว่ามาดามเดียร์ต้องไป คุณไพบูลย์จะเป็นอมตะ จะเป็นต้นแบบให้พรรคอื่น ๆ ยุบพรรคตนเอง ทำตามไพบูลย์โมเดล”

ฝ่ายค้านเจตนาดีแก้ รธน.

ในหมวกนักวิชาการที่ “สมชัย” ร่วมขบวนการผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 กับ 7 พรรคฝ่ายค้าน เขาวิเคราะห์เจตนาของ “นักการเมือง” ว่า ฝ่ายการเมืองเข้ามาคราวนี้เข้าใจบทบาทของเขาว่าจะไม่เป็นฝ่ายนำการแก้รัฐธรรมนูญ และผลักนักวิชาการออกหน้าแล้วตนเองอยู่เบื้องหลัง แต่เป็นบทบาทเข้ามาสนับสนุนเสริมให้เกิดความเข้มแข็งมากขึ้น พบเห็นจากการประชุม 2-3 ครั้ง ไม่มีบทในการชี้นำ พยายามโลว์โปรไฟล์ตัวเอง ไม่พูด ไม่ออกหน้า ไม่เป็นคนนำในการประชุมและการแถลงข่าว

“เขา (ฝ่ายค้าน) อาจมีจุดยืนที่เห็นปัญหาของรัฐธรรมนูญและต้องการให้การแก้ประสบความสำเร็จ แต่ขณะเดียวกัน ฝ่ายวิชาการต้องตระหนักว่าไม่ใช่แก้เพื่อให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้เปรียบ ต้องแก้เพื่อให้เกิดกติกาที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย”

อย่างไรก็ตาม การผลักดันรัฐธรรมนูญในจังหวะที่ “อนาคตใหม่” หนึ่งใน พรรคฝ่ายค้าน ผลักดันวาระที่แหลมคม ส่วน “เพื่อไทย” พยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญสุดกำลังมาหลายครั้ง…แต่พังทุกครั้ง อะไรคือปัจจัยนำไปสู่ความสำเร็จ”สมชัย” กล่าวว่า อยู่ที่ความตระหนักของรัฐบาล

“ความสำเร็จจะต้องได้รับความร่วมมือจาก ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล และผู้นำรัฐบาล ที่จะตระหนักถึงปัญหาของรัฐธรรมนูญเพราะกลไกในการแก้ไขถูกออกแบบให้มี ส.ว.เห็นชอบอย่างน้อย 1 ใน 3 หากฝ่ายรัฐบาลส่งสัญญาณไม่เห็นชอบ การแก้ไขจะไม่มีวันสำเร็จ”

“ดังนั้น ต้องมองปัญหาที่เกิดขึ้นร่วมกัน และตระหนักว่าการออกแบบรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะการได้มาซึ่งบุคลากรทางการเมืองมีปัญหา นำมาสู่ปัญหาของรัฐบาล เช่น รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ หรืออนาคต พปชร.อาจไม่ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อแม้แต่รายเดียว”

รัฐบาลคือสิ่งกีดขวางแก้ รธน.

แต่ “สมชัย” ยังมองว่า “รัฐบาล” เช่นกันที่เป็นอุปสรรคในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะ “…ฝ่ายรัฐบาลที่เป็นฝ่ายได้เปรียบภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน เขาพอใจกับการเป็นรัฐบาล จนกระทั่งไม่เห็นปัญหาที่เกิดขึ้นในอนาคต เหมือนกับคนนั่งเล่นชมวิวอย่างมีความสุขอยู่ชายหาดและพอใจกับธรรมชาติที่เกิดขึ้น แต่ไม่รู้ว่าสึนามิกำลังจะมา สึนามิคือ ระบบการเมืองซึ่งไม่ตอบโจทย์ประชาชน และไม่สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ของบ้านเมืองได้เลย”

แปลว่า พปชร.จมน้ำตายก่อนพรรคอื่น ? สมชัยตอบทันควัน “ทุกคนจมหมด ไม่ใช่ พปชร.จะจมน้ำ แต่ทุกฝ่ายที่ไม่มีการเตรียมการ รู้สึกมีความสุขกับสถานการณ์ปัจจุบัน จะไม่มีการระวังตัว ความเสียหายจะเกิดขึ้นกับทุกคน ไม่ใช่แค่ฝ่ายรัฐบาลที่ไม่เตรียมการ”

“คำถามประการหนึ่งของสังคม คือ แก้ปัญหาปากท้องก่อนดีไหม แล้วค่อยแก้รัฐธรรมนูญ เป็นวิธีคิดคนกลุ่มหนึ่ง ทำให้คนในสังคมคล้อยตาม แต่จริง ๆ แล้วรัฐธรรมนูญนำไปสู่การได้คนที่มีคุณภาพเข้ามาบริหารบ้านเมือง นำไปสู่การบริหารบ้านเมืองที่มีศักยภาพ และมีประสิทธิภาพในการนำพาบ้านเมืองไปสู่ความสำเร็จ”

“เมื่อทุกอย่างไม่นิ่ง รัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ ทุกคนไม่รู้จะล้มวันไหน แพ้โหวตวันไหน นักลงทุนจะไม่กล้าลงทุน ต่างประเทศไม่เข้ามา คนในประเทศไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย เศรษฐกิจจึงไม่ดี เป็นความเชื่อมโยงที่เกี่ยวข้องกัน”

“เมื่อจะแก้ปัญหาปากท้องต้องแก้ไป แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นกติกาที่นำไปสู่การได้มาซึ่งบุคลากรที่ดีที่เก่งเข้าสู่การเมืองไทยก็ต้องทำ ไม่ได้ทำเพื่อวันนี้ แต่ทำเพื่อวันหน้า ทำให้การเลือกตั้งครั้งต่อ ๆ ไป เป็นการเลือกตั้งที่ดี ทำไม่ได้ทันที แต่ต้องแก้”

เพื่อไทยได้เปรียบรื้อ รธน.ใหม่

อย่างไรก็ตาม “สมชัย” วิเคราะห์ฉากในอนาคต หากแก้ไขรัฐธรรมนูญสำเร็จว่า “ถ้าแก้ให้เข้าที่เข้าทาง เพื่อไทยจะมีความได้เปรียบมากขึ้น ส่วนอนาคตใหม่เสียเปรียบมากขึ้น เพื่อไทยอาจจะมีจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อเพิ่มขึ้น แต่อนาคตใหม่ขึ้นอยู่กับว่าจะประคองกระแสนิยมได้หรือไม่”

“ส่วน พปชร.ได้เปรียบ ในการเป็นรัฐบาลสร้างผลงาน มีโอกาสได้รับความนิยมที่สูงขึ้น และเสียเปรียบตรงที่ หากไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่เป็นอยู่ได้ในขณะนี้โดยเฉพาะเศรษฐกิจ”

แต่ที่ “สมชัย” อยากให้มองมากกว่าใครแพ้-ชนะในเกมแก้รัฐธรรมนูญ คือ เนื้อหาที่น่าจะก่อให้เกิดความเป็นธรรมและความเท่าเทียมกัน ในการแข่งขันระหว่างฝ่ายต่าง ๆ มากกว่า และให้ประชาชนมีส่วนในการให้ความเห็นในการออกแบบ และให้ประชาชนมี

อำนาจอย่างแท้จริง