สมคิด ยอมรับอีอีซีโครงการใหญ่ย่อมมีจุดอ่อน ปัดเอื้อเจ้าสัว

‘สมคิด’ ระบุเศรษฐกิจเติบโตแต่กำลังกระจายไปรากหญ้าไม่เร็วพอ หวังใช้ EEC ดึงนักลงทุนสร้างเศรษฐกิจไทย ลั่นปีนี้ไทยต้องได้ใช้ 5G สู้เพื่อนบ้านชูเศรษฐกิจดิจิทัล โวผลงานชิ้นโตรัฐบาลสร้างคือ E-payment เข้าถึงฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ลดต้นทุนได้ปีละหมื่นล้าน ขอทุกฝ่ายร่วมกันทำงานสร้างความหวังให้คนไทย

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวชี้แจงต่อการอภิปรายของฝ่ายค้านในประเด็นเศรษฐกิจว่า การเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไม่ใช่เรื่องง่าย เหตุผลที่เกิดความเลื่อมล้ำมาก เพราะผลผลิตและบริการของเรามูลค่าต่ำ เกษตรกรได้รายได้ต่ำ แรงงานไม่สามารถขึ้นค่าแรงได้ เพราะเอกชนไม่กล้าลงทุน เราเน้นเรื่องการส่งออกนำ เพราะการทำเศรษฐกิจให้แข็งแรงต้องใช้พลังมหาศาลก็ต้องใช้ทางลัดคือส่งออกแทน โดยใช้บีโอไอจูงใจ ทำให้ภาพภายในเหมือนคนเป็นโปลิโอ โดยบริษัทใหญ่ได้ประโยชน์แต่รากหญ้าไปไม่ถึง ความล้มเหลวของเราคือเมื่อมีความเติบโตทางเศรษฐกิจแล้วเราไม่สามารถทอนความมั่งคั่งไปสู่รากหญ้าได้เร็วพอ ทำให้เกิดช่วงห่างมหาศาล นายกฯจึงสั่งให้เริ่มทำ คือทำอย่างไรให้มีมูลค่าผลผลิตและบริการสูงขึ้น จึงเกิดโครงการ EEC ไม่เฉพาะไฮเทคอย่างเดียว แต่เน้นการเกษตร เรื่องไบโอเทคโนโลยี การท่องเที่ยว

โดยโครงการนี้จะเป็นเบ้าหลอมสร้างอุตสาหกรรมเหล่านี้ในอนาคตข้างหน้า แต่เราไม่มีปัญญาเพราะขาดบุคลากร ความสามารถ จึงต้องเอานักลงทุนจากต่างประเทศที่เก่งแต่ละด้านมาร่วมกับเรา โดยต้องมีจุดลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เรื่องดิจิทัลต่างๆ เพื่อรองรับให้เขามีความสนใจมาลงทุน รวมถึงบีโอไอออกมาตรการเพื่อจูงใจด้วย จึงเป็นเหตุผลว่าการลงทุนขนาดใหญ่จึงเป็นสิ่งจำเป็น ในสมัยรัฐบาลไทยรักไทยที่ต้องการจะลงทุนขนาดใหญ่ มีการเรียกประชุมทูตทั่วโลกว่าจะมีการลงทุนประมาณ 1-2 ล้านล้านบาท โดยมีความคิดอย่างเดียวคือจะใช้เงินกู้ แต่ลองนึกดูว่าหากกู้ขนาดนั้นหนี้สาธารณะจะเป็นเท่าไหร่ แต่เหตุการณ์ที่ผ่านมา 10 กว่าปี ทำให้เห็นประสบการณ์มากขึ้น และรู้ว่าไม่จำเป็นต้องกู้เลย โดยสามารถดึงเอกชนเข้ามาลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ เปิดโอกาสเอกชนที่มีพลังทำโครงการขนาดใหญ่ เช่น รถไฟ สนามบิน ดิจิทัลปาร์ค โดยการรวมกลุ่มกับต่างประเทศเอาผู้เชี่ยวชาญมาลงทุนแข่งขันกัน ไม่ใช่ผูกขาด จากนั้นเราได้มีการโรดโชว์

“มันไม่ใช่ของง่ายที่จู่ๆ โครงการที่ไม่มีเลยจากศูนย์ แล้วภายใน 4-5 ปีกลายเป็นจีน ญี่ปุ่น และเวทีระดับโลกมีการพูดถึง EEC ทั้งนั้น โดยมีการยกไทยให้เป็นการลงทุนระดับแรก แต่ยอมรับว่าเมื่อเป็นโครงการขนาดใหญ่ก็ต้องมีจุดอ่อนบ้าง แต่ก็มีการเร่งแก้ไขโดยลำดับ โดยเลขาธิการ EEC และคณะผู้บริหารทำงานอย่างหนัก เราสร้างจากศูนย์จนทำให้สิงค์โปร มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม สั่นคลอนได้ หากคิดว่าทุกอย่างไม่ดีมีผลเสีย ลองคิดมุมกลับดูว่าถ้าไม่มี EEC วันนี้เราจะเป็นอย่างไร สู้เวียดนามได้หรือไม่ เราจึงจำเป็นต้องสร้างสตอรี่โดยกระทรวงต่างประเทศ ไปใส่ในหัวผู้นำเหล่านี้ให้เห็นว่าไทยเป็นศูนย์กลาง โดยมี EEC ที่จะเป็นเบ้าหลอมการผลิต โครงสร้างพื้นฐาน ท่าเรือน้ำลึก และยังเป็นใจกลางของประเทศ CRMB สามารถกระจายการลงทุนไปหลายประเทศได้ เราขายไอเดียจนจีนให้ฮ่องกง กวางตุ้ง มาเก๊า ซึ่งเป็นหัวหอกมาลงทุนได้ สามารถเกี่ยวกับ GBA ได้ ภายในเวลา 3-4 ปี”

นายสมคิดกล่าวว่ามีการโจมตี กล่าวหาว่าบุกรุกที่ทำกิน ใช้พื้นที่เอื้อประโยชน์ ซึ่ง ครม.ทำด้วยความอดทนและเริ่มไปด้วยดี มีการลงทุนเข้ามา แต่จู่ๆ จะให้ระดับใหญ่ๆ เข้ามาทันที คงไม่ได้ เพราะเขายังไม่มั่นใจ จะต้องมีการทำทีละขั้นตอน สามารถดูตัวเลขของ BOI ได้

นายสมคิดยังกล่าวว่า รัฐบาลนี้เป็นคนกระตุ้นเรื่องดิจิทัล โดยการลงทุนอินเตอร์เน็ต 7 หมื่นหมู่บ้าน และจะมี 5G ภายในปีนี้ ซึ่งมีความสำคัญมาก เพราะหากเวียดนามมี 5G แล้วเราไม่มี อีกหน่อยผลิตภาพการผลิตสู้เขาไม่ได้ ไม่มีใครอยู่ด้วย แต่ที่สำคัญสุดผลงานชิ้นใหญ่ของรัฐบาลคือ National E-payment E- Groverment โดยขณะนี้กรมบัญชีกลางสามารถส่งเงินโดยตรงระหว่างรัฐต่อรัฐ และประชาชนได้ ลดต้นทุนเป็นหมื่นล้านต่อปี แต่ที่สำคัญพร้อมเพย์สามารถทำให้สวัสดิการประชาชนเกิดขึ้นครั้งแรกได้อย่างจริงจัง สามารถระบุกลุ่มเป้าหมายและยิงเงินได้โดยตรงไม่มีคอร์รัปชั่นได้เลยอยู่ที่ว่ามีฐานข้อมูลขนาดไหน หากเอาไปผนวกกับการลงทุนของเอกชนจะสามารถสร้าง Big Data ที่มีประสิทธิภาพสูงในการบริหารประเทศในวันข้างหน้า

“สวัสดิการประชารัฐไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้ เพราะเราสัญญาว่าคนแก่คนจนต้องได้ ที่สำคัญคนที่ทำมาหากินมีครอบครัวต้องมีอะไรบางอย่างให้เขา จึงเป็นโครงการที่สำคัญมากสำหรับประเทศไทย”

นายสมคิดกล่าวว่าตนดีใจที่นายพิธาพูดถึงเรื่องเกษตรกร เพราะรากเหง้าอย่างหนึ่งของความเหลื่อมล้ำคือเราไม่เอาจริงจังกับการปฏิรูปภาคเกษตรเท่าที่ควร เราจำนำ ประกันราคา ซึ่งเป็นความจำเป็นที่ต้องช่วย แต่ถ้าตราบใดที่เร่งเรื่องการผลิตไม่มองที่ชุมชนจะไม่สามารถขจัดความยากจนได้เลย ถ้าจะให้เกษตรกรแปรรูปผลผลิตได้ต้องมุ่งไปที่วิสาหกิจชุมชน ต้องหาเครื่องจักรให้ชุมชน ต่อการท่องเที่ยวให้เข้าชุมชน ชิมช้อปใช้ ไม่ได้ตั้งให้สนุก แต่เป็นการดึงคนกรุงที่มีอำนาจซื้อเข้าไปจับจ่ายในชนบท ตอนนี้ไม่ได้เอื้อแค่ร้านสะดวกซื้อ แต่เอื้อทุกอย่างในประเทศไทย สิ่งเหล่านี้ตนเรียกว่า ‘ประชารัฐสร้างไทย’ ไม่ได้เกี่ยวกับพรรค เพราะตนคิดเรื่องนี้มาก่อน และการทำงานต้องมี ประชาชน เอกชน และรัฐ รวมกันเป็นที่มาของชื่อนี้ สิ่งเหล่านี้ที่กำลังทำทำให้ดัชนีต่างๆ ดีขึ้นทุกตัว จน World Bank ยังชมว่าไทยเป็นตัวอย่างของการพัฒนาประเทศ จีดีพีของประเทศโตขึ้น 3 ล้านล้านจากปี 2558 นี่หรือรัฐบาลไม่มีผลงาน เจ้าสัวไม่ต้องเอื้อเขา แค่หุ้นขึ้นเขาก็สบายแล้ว จะไปเอื้อเขาทำไม

“อีกสิ่งหนึ่งที่ผมไม่เอ่ยไม่ได้ คือ เราสามารถสร้างมิตรประเทศได้มหาศาล แม้ช่วงแรกที่รัฐประหารจะไม่ได้รับการยอมรับ แต่ปัจจุบันเราทำการประชุมอาเซียนได้อย่างสง่าผ่าเผย แต่ตอนนี้มรสุมหลายลูกเข้ามาที่ประเทศไทย พอจีนทรุดในสงครามการค้า ทุกประเทศก็ทรุดหมด แม้เวียดนามจะยังโตได้ แต่เขาอยู่คนละขั้นกับเราที่ยังโตได้ แต่เราก้าวมาอีกขั้นแล้วก็ต้องสู้ต่อไป ขณะเดียวกันเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ตอนนี้ก็เริ่มคลี่คลาย เป็นเรื่องมาตรการการเงินของแบงก์ชาติ ระเบิดลูกต่อมาคืองบประมาณ ที่ผ่านการพิจารณาอย่างล่าช้า รายจ่ายของรัฐบาลก็ติดลบ 5.1 แต่หลังจากนี้ต้องช่วยกันให้งบประมาณที่ผ่านมาแล้ว โครงการก็ต้องทำให้ได้ และลูกระเบิดสุดท้ายคือโรคระบาด ที่ไม่ได้กระทบท่องเที่ยวอย่างเดียว แต่กระทบทุกอย่าง คนไม่ออกมาร้านค้า ฯลฯ แต่ถ้าตอนนี้เราร่วมกันทำงานให้ทุกฝ่ายร่วมกัน ทุกคนก็จะมีความหวัง” นายสมคิดกล่าว