มติ ครม. อนุมัติหลักการให้นักลงทุนต่างชาติที่มั่งคั่ง เข้าซื้อที่อยู่อาศัยในเมืองไทย และได้ปรับสิทธิหน่วยงานราชการหลายแห่งให้สอดคล้อง กลายเป็นกระแสรัฐบาลถูกโจมตี นับเป็นรัฐบาลที่ 3 ที่ถูกระบุว่า “ขายชาติ”
มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 14 กันยายน 2564 อนุมัติ เรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการลงทุนเพื่อการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย โดยให้เศรษฐีต่างชาติ 4 กลุ่ม เข้าพำนักอาศัยในประเทศไทย หรือประกอบอาชีพ และสามารถซื้อบ้านและที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยได้
- ด่วน ! วอยซ์ ทีวี ประกาศปิดกิจการทุกแพลตฟอร์ม เลิกจ้าง 100 กว่าคน
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- NETA X ขาย มิ.ย.นี้ ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท หลัง MOU สรรพสามิต
• มติ ครม. ดึงต่างชาติมั่งคั่งล้านคน ซื้อที่พักอาศัย ทำงานในเมืองไทย
มติ ครม.ดังกล่าว ถูกตั้งเรื่องมาตั้งแต่ 4 เดือนก่อน โดยในวันที่ 4 มิถุนายน 2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ จากผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบศ. ครั้งที่ 2/2564 ได้เห็นชอบ มาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงเข้าสู่ประเทศไทย ตามข้อเสนอของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
เอาใจต่างชาติอย่างไรบ้าง
แม้ยังไม่ได้ปรับแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง แต่ “มติ ครม.” เรื่องนี้ ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า “เพื่อเอาใจชาวต่างชาติ” ภายใต้รายละเอียด ที่นำเสนอ ครม. ดังนี้
- วีซ่าพำนักระยะยาว อายุ 10 ปี จากเดิมต้องรายงานตัวทุก 90 วัน เงื่อนไขใหม่ ไม่ต้องรายงานตัว แม้จะอยู่ในประเทศเกิน 90 วัน
- ซื้อคอนโดฯได้เพิ่ม จากเดิมที่กำหนดให้ซื้อได้ไม่เกินร้อยละ 49 ของจำนวนยูนิตทั้งหมด
- เช่าอสังหาริมทรัพย์ได้เพิ่ม จากเดิมที่เช่าได้ไม่เกิน 30 ปี
- ซื้อบ้านจัดสรรและที่ดิน จากเดิมต่างชาติไม่สามารถครอบครองได้ แต่หลักการใหม่ให้ซื้อได้ภายใต้ข้อจำกัด
- ให้กระทรวงการคลัง ทำส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาษีและระเบียบวิธีปฏิบัติด้านการศุลกากร โดย ลดอากรขาเข้ากึ่งหนึ่งเป็นเวลา 5 ปี สำหรับการนำเข้าไวน์ สุรา ยาสูบประเภทซิการ์
- ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับรายได้จากต่างประเทศ
หน่วยงานราชการ ต้องอำนวยความสะดวก ดังนี้
- ให้ BOI หรือสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน จัดตั้งหน่วยบริการพิเศษ LTR Service Center ขึ้นเพื่อสนับสนุนและเชิญชวนให้ชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงเข้ามาเป็นผู้พำนักระยะยาวในประเทศไทย
- ให้ กระทรวงมหาดไทย กำหนดวีซ่าประเภทผู้พำนักระยะยาวใหม่ รวมทั้งข้อยกเว้นและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
- ยกเว้นให้ผู้ถือวีซ่าผู้พำนักอาศัยระยะยาว และวีซ่า smart visa ทั้งหมด ไม่ต้องมีหนังสือแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบ หากอยู่ในประเทศเกิน 90 วัน ตามมาตรา 37 (5) แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 และให้มีคุณสมบัติของผู้ขอวีซ่า สิทธิประโยชน์ และรายละเอียดอื่น ๆ ตามที่เสนอ
- ให้ศึกษาแนวทางการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการถือครองที่ดิน ในทางปฏิบัติเป็นการรีวิวกฎหมายเพื่อเปิดทางให้ชาวต่างชาติถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดิน
สำหรับการออกวีซ่า long-term resident visa เป็นการกำหนดวีซ่าประเภทใหม่ เพื่อรองรับชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูง และต้องการเป็นผู้พำนักอาศัยในระยะยาว แบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ
1.กลุ่มประชากรโลกผู้มีความมั่งคั่งสูง (wealthy global citizen) ให้สิทธิทำงานพร้อมวีซ่า, ให้คู่สมรสและบุตรได้รับวีซ่าผู้ติดตามไปพร้อมกันด้วย, ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับรายได้จากต่างประเทศ (รวมทั้งรายได้ที่นำเข้ามาในปีภาษีเดียวกัน)
นิยามคือ ลงทุนขั้นต่ำ 5 แสนดอลลาร์สหรัฐ ในพันธบัตรรัฐบาลไทย หรือลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI-foreign direct investment) หรือลงทุนในอสังหาริมทรัพย์, มีรายได้เงินเดือนหรือเงินบำนาญขั้นต่ำปีละ 8 หมื่นดอลลาร์สหรัฐ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา, มีทรัพย์สินขั้นต่ำ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
2.กลุ่มผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ (wealthy pensioner) นิยามลงทุนขั้นต่ำ 2.5 แสนดอลลาร์สหรัฐในไทย, มีเงินบำนาญขั้นต่ำปีละ 4 หมื่นดอลลาร์สหรัฐ, ถ้าไม่ได้ลงทุนในไทย ต้องมีเงินบำนาญขั้นต่ำปีละ 8 หมื่นดอลลาร์สหรัฐ
3.กลุ่มที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย (Work-from-Thailand professional) นิยามมีรายได้ส่วนบุคคลปีละ 8 หมื่นดอลลาร์สหรัฐ ในช่วง 2 ปี หรือปีละ 4 หมื่นดอลลาร์สหรัฐ หากสำเร็จการศึกษาปริญญาโทขึ้นไป/ครอบครองทรัพย์สินทางปัญญา/ได้รับเงินทุน series A1 และมีประสบการณ์ทำงาน 5 ปี
4.กลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ (high-skilled professional) ได้สิทธิประโยชน์หลักเช่นเดียวกับประเภทอื่น ๆ แต่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากรายได้ในประเทศไทย อัตราเดียวกับพื้นที่ EEC
ในวาทกรรมขายชาติ จากนักการเมือง-คนบันเทิง
- นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ ครม.มีมติเห็นชอบปรับหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการถือครองที่ดินในไทย และขยายเพดานให้ชาวต่างชาติถือครองห้องชุดในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นจาก 49% เป็น 70-80% และการปรับหลักเกณฑ์ให้ต่างชาติสามารถเป็นเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในประเทศได้ ในราคาตั้งแต่ 10-15 ล้านบาทขึ้นไป โดยอ้างว่าเพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจนั้น…รัฐควรเอาเวลาไปคิดหามาตรการให้ช่วยเหลือคนไทยไม่มีบ้านอยู่ถึง 87 ล้านครัวเรือน…อยากให้รัฐบาลคิดใหม่ เพราะมาตรการนี้นอกจากจะไม่ช่วยดึงดูดนักลงทุนต่างชาติแล้ว อาจถูกครหาว่าขายชาติ ขายแผ่นดินเอาได้
- ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยกล่าวว่า “นี่ถือเป็นมติอัปยศ ที่แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลสิ้นไร้ความสามารถที่จะแสวงหารายได้เข้าแผ่นดิน แนวคิดและมติดังกล่าวไม่ได้สอบถามเจ้าของประเทศที่แท้จริงเลยว่าเห็นชอบด้วยหรือไม่ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่และอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ จึงเรียกร้องขอให้รัฐบาลใช้อำนาจ ม.166 ดำเนินการทำประชามติจากประชาชนเจ้าของประเทศเสียก่อน”
- มีการเปรียบเทียบกับทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เคยถูกครหาว่าเป็นคนขายชาติ หลังจากที่ประกาศนโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจ เช่น ปตท. (PTT) และบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (AOT) จากเดิม รัฐถือหุ้นทั้งหมด 100% ปรับเป็นรัฐถือหุ้นได้ 51% คนนอกทั้งไทยและต่างชาติ ถือได้รวมกัน 49% โดยทักษิณอธิบายว่า “ต้องการส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมกับการเป็นเจ้าของกิจการของรัฐ”
- ยุค น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ถูกกล่าวหาว่าขายชาติ กรณีไปกล่าวปาฐกถาที่ประเทศมองโกเลีย ว่า “ประเทศไทยต้องล้าหลังชาติอื่นไปหลายปี เพราะมีการรัฐประหารในยุคสนธิ บุญยรัตกลิน…ประชาชนเกิดความรู้สึกว่าสิทธิเสรีภาพของเขาถูกปล้นไป คนไทยได้ลุกขึ้นต่อสู้เรียกร้องเพื่อให้ได้เสรีภาพคืนมา”
- โฟกัส จิระกุล นักแสดง โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ว่า “ใครกันแน่ที่ … ขายชาติ” ขณะที่ทนายเกิดผล แก้วเกิด ได้โพสต์ว่า “ไม่แน่นะ ต่อไปนี้ อาจมีเขตปกครองพิเศษ สำหรับต่างชาติ ห้ามคนไทยเข้าก็ได้”
- อ๋อม สกาวใจ นักแสดง ออกมาคัดค้านเรื่องการขายที่ดินให้ชาวต่างชาติถือครองกรรมสิทธิ์ โดยอ๋อมได้โพสต์ข้อความลงไอจี @oomsakaojai พร้อมกับมีข้อความว่า “เรื่องขายที่ดินให้ต่างชาติ ฉันค้านสุดตัว…จำไว้ !!! แต่ตอนนี้ขอตามวัคซีนให้คนยังไม่ได้เข็มแรกก่อน…