เส้นสนกลใน ปรับ ครม.ประยุทธ์ คลื่นใต้น้ำ “พลังประชารัฐ” รอปะทุ

รายงานพิเศษ

การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประยุทธ์ 2/5 ถูกเขย่า-ขย่มอีกระลอกหวัง “เร่งเกม” ให้แล้วเสร็จภายในเดือนตุลาคม 2564 เพื่อสยบ “คลื่นใต้น้ำ” ภายในพรรคพลังประชารัฐที่ “ยังไม่จบ”

หลังจาก “2 ช.” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่าเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ-นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ ถูกปลดฟ้าผ่า-พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีกลางอากาศ

ความเคลื่อนไหวภายในพรรคพลังประชารัฐ ส่ง “แรงกระเพื่อม” มายังตึกไทยคู่ฟ้าอย่างต่อเนื่อง มีการโยนหินถามทาง-เปิดโพยชื่อ “ว่าที่รัฐมนตรี” ส่งถึงมือ พล.อ.ประยุทธ์ให้ “ตรวจสอบคุณสมบัติ”

กลุ่ม-ก๊วนภายในพลังประชารัฐ “เล่นกันแรง” ถึงขั้น “ปล่อยข่าว” การส่งชื่ออย่างลับ ๆ ไม่ผ่าน “นายป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค จน “สุชาติ ชมกลิ่น” คนเพื่อนเยอะแห่งภาคตะวันออก “ควันออกหู”

“ผมมีมารยาท ผมมีกาลเทศะพอ ผมรู้ว่าอยู่ในจุดไหน ผมเป็นลูกพรรค ผมมีวันนี้เพราะท่านหัวหน้าพรรคให้โอกาส การปรับ ครม.เป็นเรื่องของหัวหน้าพรรคกับท่านนายกรัฐมนตรี”

“เรื่องนี้ละเอียดอ่อนมาก ถ้าเกิดโยนระเบิดลูกนี้มาให้ผม ถ้าเกิดหัวหน้าพรรคไม่เข้าใจผม ว่าผมเป็นคนไม่รู้กาลเทศะเหรอ มันไม่ใช่ ผมต้องรู้กาลเทศะ”

สุชาติตอบโต้ดุเดือดกระแสข่าวพาดหัวไม้เตรียมชงชื่อ “สรวุฒิ เนื่องจำนงค์” 
ส.ส.ชลบุรี และ นายอัฏฐพล โพธิพิพิธ ส.ส.กาญจนบุรี เป็นรัฐมนตรี

นอกจากกลุ่ม-ก๊วนในพลังประชารัฐ ที่เตะตัดขา-ทิ่มแทงกันทั้งต่อหน้า-ลับหลังแล้ว ยังมี “เพื่อนร่วมรุ่น” พ.อ.สุชาติ จันทรโชติกุล เตรียมทหารรุ่น 12 อดีตประธานยุทธศาสตร์ภาคใต้พรรคพลังประชารัฐ ที่ออกมา “เปิดหน้า” เคลื่อนไหว “ทวงเก้าอี้รัฐมนตรี” กลาย ๆ ให้กลุ่ม 13 ส.ส.ภาคใต้

แม้ “พ.อ.สุชาติ” จะออกมาเตือนความจำ “โควตาภาคใต้” เพราะการเลือกตั้งที่ผ่านมากวาดเก้าอี้ ส.ส.เป็นกอบเป็นกำกว่า 13 ที่นั่ง จนถึงขั้น “ทวงบุญคุณ” ส.ส.ภาคใต้บางคนที่มีวันนี้ เชิดหน้า-ชูคอเข้าสภาได้เพราะ “เงินเรี่ยไร”

ทว่า หลังจากการเลือกตั้ง “หัวหน้ามุ้ง” คนที่ดูแล 13 ส.ส.ภาคใต้ ไม่ใช่ “พ.อ.สุชาติ” แต่เป็นการลงขัน “ช่วย ๆ กันดู” ทั้ง “ร.อ.ธรรมนัส” และ “กลุ่มสามมิตร” รวมถึง “สุชาติ” ที่รับผิดชอบ ส.ส.ภาคใต้บางคนซึ่งก่อนหน้านี้มี “กลุ่มสี่กุมาร” รับหน้าเสื่อ

ดังนั้น เก้าอี้รัฐมนตรีโควตาภาคใต้ ที่ “พ.อ.สุชาติ” ออกมาถามถึงสิทธิ (ที่ถูกจัดสรรให้ ร.อ.ธรรมนัส-สามมิตรไปแล้ว) จึงไม่ได้รับการตอบรับ การออกมาเขย่าครั้งนี้ จึงค่อนข้างแรง-หนักหน่วงถึงขั้นชักชวนกัน “ย้ายพรรค” กันทางอ้อม

ส่วนกระแสข่าวการปรับ “สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” รองนายกรัฐมนตรี-รมว.พลังงาน ออกจากตำแหน่งใน “หน้าสื่อ” เพราะคนตีนบันไดทำเนียบ “ไม่ปลื้ม” เกิดเป็นเกมแซะเก้าอี้-เซาะใจ “พล.อ.ประยุทธ์” ให้โอนอ่อน-คล้อยตาม

เช่นเดียวกับการเขย่า “เก้าอี้ทูตดอน” ดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ต่างประเทศ (อีกครั้ง) เพราะเป็น “รัฐมนตรีคนนอก” ที่ “ขาลอย” ไม่มีตำแหน่งแห่งที่ภายในพรรคพลังประชารัฐ

ทุกครั้งที่กระแสข่าวปรับ ครม. “ทูตดอน” จึงมีชื่อติดโผถูกปรับออกทุกครั้ง แต่ถ้า “แบ็กอัพ” ไม่ดีจริง คงอยู่ไม่ได้ถึง 7 ปีตั้งแต่รัฐบาลยุค คสช.

แม้เก้าอี้รัฐมนตรีที่ว่างลงจะเป็นโควตาของพรรคพลังประชารัฐ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ใช้วิชาตัวเบา-สยบความเคลื่อนไหว ท่องคาถา “ไม่ปรับ ครม. ไม่ยุบสภา” เดินหน้าลงพื้นที่เยี่ยมประชาชนประสบภัยน้ำท่วม

เช่นเดียวกัน “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร ที่ออกมาสยบความเคลื่อนไหวภายในพรรคพลังประชารัฐยังไม่มีสัญญาณการปรับ ครม.จาก “พล.อ.ประยุทธ์”

ขณะที่แกนนำพลังประชารัฐ “ปิดปากเงียบ” เรื่องการปรับ ครม. เดินหน้าแก้ปัญหาโควิด-19-ลงพื้นที่แก้ปัญหาน้ำท่วม สนองนโยบาย พล.อ.ประยุทธ์ เว้นวรรคสนทนาการเมือง-ปรับ ครม. จนกว่าจะเปิดการประชุมสภาในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ซึ่งมีกฎหมายสำคัญรออยู่ อาทิ พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) โรคติดต่อที่จะใช้แทน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ซึ่งหากไม่ผ่านสภา จะส่งผลให้รัฐบาลต้องลาออก และรวมถึงหากมีการ “กู้เงิน” ก้อนใหม่ หลังจาก ครม.มีมติขยายเพดานหนี้สาธารณะออกไป จากเดิมร้อยละ 60 เพิ่มเป็นร้อยละ 70

ดังนั้น การปรับ ครม.ประยุทธ์ 2/5 ครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ต้องละเมียดละไมอย่างมาก เพราะ “เดินหมากอันตราย” ไปแล้ว 1 หน จากการปลด “ร.อ.ธรรมนัส” พ้น ครม. เพราะหากเดินหมากผิดตาเดียวอาจจะแพ้ทั้งกระดาน-อำนาจหลุดมือ

ทว่ารายชื่อ “คนนอก” ในโผ ครม.ประยุทธ์ 2/5 สายตรง 2 ป. ป.ประยุทธ์-ป.ป๊อก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ลุ้นเสียบ-สแตนด์บาย ทั้ง “บิ๊กฉิ่ง” ฉัตรชัย พรหมเลิศ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย และ “บิ๊กเล็ก” พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ซึ่งเกษียณอายุราชการไปเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2564

เพราะจะว่าไปแล้ว โควตาพลังประชารัฐแท้ ๆ ก็มีเพียงเก้าอี้ รมช.เกษตรและสหกรณ์เท่านั้น ส่วนเก้าอี้ “รมช.แรงงาน” เป็นการ “เปิดตำแหน่งพิเศษ” ให้กับ “คนพิเศษ” อย่าง “นฤมล” เท่านั้น

อย่างไรก็ดี อำนาจ 3 ป. ที่ดูจะ “ง่อนแง่น” จากศึกในพลังประชารัฐอาจจะ “ลงตัว” เพราะยังมี “อาวุธลับ” อย่าง “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ที่จะเข้าไปเป็น “ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค” พล.อ.ประวิตร พ่วงด้วยออปชั่น สมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ รอเพียง “ไฟเขียว” จาก 3 ป.

ไม่แน่ว่าการที่ “พีระพันธุ์” ที่มี “ซูเปอร์คอนเน็กชั่น” จะมานั่งเก้าอี้เสนาบดีใน ครม.ประยุทธ์ 2/5 อาจจะตัดจบปัญหาทั้งปวงภายในพลังประชารัฐก็เป็นได้