นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี-รมว.พลังงาน กล่าวเปิดงานเสวนาและปาฐกถาพิเศษ “Boost Up ทุบโจทย์ใหม่เศรษฐกิจไทย” ในงานสัมมนา “BOOST UP THAILAND 2022” จัดโดยหนังสือพิมพ์มติชน เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2564
บูสต์อัพเศรษฐกิจไทย 2022
“สุพัฒนพงษ์” เริ่มต้นปาฐกถาพิเศษว่า การบูสต์อัพประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลได้ออกมาตรการเพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้า ซึ่งเป็นโอกาสของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ เช่น การรักษาการผลิต โดยเฉพาะภาคการส่งออก มีบับเบิลแอนด์ซีล แฟกตอรี่แซนด์บอกซ์ เดือนที่ยากลำบากที่สุด คือ เดือนกรกฎาคม ต้องชกลม เตรียมพร้อมรับการเปิดประเทศและประสบความสำเร็จ เป็นต้นแบบที่ทั่วโลกจับตามอง เป็นการท่องเที่ยวปลอดภัย จำนวนการจองห้องพักต่อคืนพักที่ภูเก็ตกว่าล้านคืน
- ทำฟันประกันสังคม ไม่ต้องสำรองจ่าย เดือน มี.ค. 67 ยอด 169 ล้านบาท
- รู้ไหม ? 31 มณฑลจีน ชอบสินค้าอะไรของไทย
- ด่วน ! วอยซ์ ทีวี ประกาศปิดกิจการทุกแพลตฟอร์ม เลิกจ้าง 100 กว่าคน
เรื่องการเยียวยาในช่วงที่ลำบากทุกด้าน ภาคประชาชน โดยเฉพาะพื้นที่เข้มงวดและควบคุมสูงสุด สีแดงเข้ม ได้ครบทุกภาคส่วนว่า ประเทศไทยเมื่อเดือนกรกฎาคมแดงทั้งแผ่นดิน
“วันนี้ยังรักษาสถานภาพความเข้มแข็งทางการเงิน การคลังของประเทศในระดับที่ดีพอสมควร ไม่ได้น้อยหน้ากว่าประเทศอื่น มองไปในอนาคตก็ยังมีเสถียรภาพ และเตรียมพร้อมเพื่อเดินหน้าประเทศไทยต่อไปได้”
สร้างไทยฐานการผลิตแหล่งที่สอง
นายสุพัฒนพงษ์กล่าวว่า จากปัญหาของสงครามการค้า จะไม่มีประเทศใดประเทศหนึ่งเป็นฐานการผลิตอีกต่อไป การกระจายฐานการผลิตที่สองจะมีความจำเป็นมาก ประเทศไทยจะมีความพร้อม
คนจะแสวงหาที่พำนักระยะยาว หรือแหล่งประกอบการแห่งที่สอง ที่มีความปลอดภัยด้านสาธารณสุขและมีความมั่นคงด้านอาหารสูง อยู่แล้วไม่อดตาย อยู่แล้วปลอดภัย มีสุขภาพที่ดี
4 เดือนที่ผ่านมา เป็น 4 เดือน 4 โอกาส (decarbonization digitalization derisk และ decentralization : 4D) รัฐบาลไม่เคยหยุดนิ่ง ทำงานคู่ขนานไปกับการพัฒนาดิจิทัลและเทคโนโลยี รวมถึงโครงสร้างสร้างฐานต่าง ๆ เช่น 5G
สำคัญที่สุดในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 และการเยียวยา คือ การทดลองสำคัญในการจ่ายเงินเยียวยาภาคประชาชน 50 ล้านคนผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล
จนเป็นที่เล็งเห็นของผู้ประกอบการรายใหญ่หลายรายที่ต้องการเห็นประเทศไทยเป็นฮับดิจิทัล โดยเฉพาะธุรกิจ cloud service และ data center รวมถึง big data analysis ซึ่งมีผู้แสดงความจำนงเข้ามาลงทุนในระดับไฮเปอร์สเกล
ขณะนี้อยู่ระหว่างหารือเรื่องภาษีและกฎกติกา ซึ่งจะทำให้เห็นการลงทุนขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นฐานสำคัญในการทำให้ธุรกิจดิจิทัลไปได้รวดเร็วมากขึ้น
และตามด้วยรัฐบาลไทยแสดงจุดยืนของประเทศไทยในการกำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (net zero) ในปี 2608 (ค.ศ. 2065) หรือ 40 ปีหลังจากนี้ แต่ระหว่างทาง ปีที่เราจะปล่อยคาร์บอนสูงสุด ไม่เกินปี 2030 หรือ 9 ปีต่อจากนี้
คาร์บอนเป็นศูนย์-เข้าสู่เมกะเทรนด์
นายสุพัฒนพงษ์ชี้ให้เห็นเมกะเทรนด์ของโลกว่า 75% ของประเทศที่ครองเศรษฐกิจกำลังจะเดินหน้าไป เพราะเป็นปัญหาสำคัญต้องเร่งแก้ไข กฎกติกาที่จะเป็นมาตรการบังคับในอนาคตจะเกิดขึ้น เช่น carbon footprint และ carbon tax
ประเทศไทยมีศักยภาพ ไฟฟ้าพลังน้ำ ไฟฟ้าโซลาร์ hybrid hydro รวมถึงพลังงานสะอาดจากประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้ไปสู่เป้าหมาย
“เรื่องของยานยนต์ประจุไฟฟ้า ภายในเดือนธันวาคมนี้ นโยบายส่งเสริมยานยนต์ประจุไฟฟ้าจะได้ข้อสรุป และนำไปสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าประเทศไทยยังเป็นศูนย์กลางในการผลิตรถยนต์ทุกประเภท”
นอกจากนี้ทีมปฏิบัติการเชิงรุกดำเนินการและพูดคุยกับ ผู้ประกอบการรายปัจจุบันและต่างประเทศให้ความสนใจ ผ่านสถานทูต 10 ประเทศ อาทิ อียู สหรัฐ เพราะเห็นความพร้อมและศักยภาพของประเทศไทย เป็นเรื่องใหม่ที่จะเกิดขึ้น
ปักธงดึงเศรษฐีต่างชาติเข้าไทยล้านคน
นโยบายที่รองนายกรัฐมนตรีมุ่งมั่นทำ ถูกนำเสนอว่า “จากการสำรวจพบมีผู้สนใจจำนวนมากและพุ่งเป้าจะเข้ามาพำนักระยะยาว เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ครม.ได้อนุมัติวีซ่าระยะยาว 10 ปี เป้าหมายแรก 5 ปี ดึงดูดชาวต่างชาติได้ 1 ล้านคน เกิดรายได้ 1 ล้านล้านบาทต่อปี”
เสน่ห์หรือแท็กติกที่ประเทศไทยทำมาอย่างต่อเนื่อง 6-7 ปีที่ผ่านมา คือ โครงสร้างพื้นฐาน ถนน ท่าเรือ จะดึงดูดการย้ายฐานของอุตสาหกรรมใหม่ อุตสาหกรรมดั้งเดิมเข้มแข็ง ได้ปรากฏให้เห็นชัดเมื่อกลางปีที่ผ่านมา
“เดือนกันยายน 64 ตัวเลขคำขอส่งเสริมการลงทุนของปี’64 สูงถึง 5.2 แสนล้านบาท เทียบกับเดือน ก.ย.ปี’64 ตัวเลขคำขอส่งเสริมการลงทุน 2.1 แสนล้านบาท หรือขึ้นมากว่า 2 เท่า และคาดว่าสิ้นปี’64 จะแตะ 6 แสนกว่าล้านบาท”
เกิดจากแรงดึงดูดจาก decentralization และทิศทางของกระแสโลกที่ต้องมีการปรับและย้ายฐานการผลิตสำคัญ สมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมชีวภาพ (BCG)
ดัน 4D ขี่กระแสโลก
นายสุพัฒนพงษ์ฉายภาพฉากทัศน์เศรษฐกิจลูกใหม่ว่า เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นโอกาสและความท้าทาย พลังที่จะดึงดูดในปีหน้าและปีถัดไป เช่น พลังงานสะอาด
“ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ได้ตกลงกันแล้วที่กลาสโกว์ว่า ในปี 2050 หรือ 2030 จะปรับเปลี่ยนให้ก๊าซคาร์บอนเป็นศูนย์ให้ได้ การย้ายฐานจะคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยหลักเพราะเป็นต้นทุนแฝงที่จะเกิดขึ้น”
“carbon footprint ที่ปรากฏอยู่ในสินค้าทุกประเภทสูง ภาษีสูงตามไปด้วย กฎกติกา สนธิสัญญาการค้าระหว่างประเทศจะถูกนำไปพิจารณา สัญญาการค้าที่อยู่ในขั้นตอนการเจรจา ถ้านำเรื่องนี้ไปพูดคุยจะไปด้วยความรวดเร็ว”
รัฐบาลเพียงวางโครงสร้างระบบนิเวศ วันนี้ 4D คือ 4 กระแสโลก ซึ่งได้เตรียมการไว้พอสมควร ไม่ด้อยไปกว่าประเทศใดในโลก ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสำคัญเพื่อพลิกโฉม
โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐาน เราไม่เคยเห็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อพลิกโฉม เช่น รถไฟรางคู่ เชื่อมต่อและเชื่อมโยงภูมิภาค ปลายปีนี้รถไฟจีนจะมาถึงและเชื่อมต่อกับไทย เชื่อมต่อภูมิภาคกับทะเลอ่าวไทย สินค้าจะไปตอนกลางของจีนง่ายขึ้น
การขนส่งทางน้ำกับจีนทางเชียงราย-เชียงของ ถนนเสร็จแล้วรอการเปิดประเทศและให้โควิด-19 คลี่คลาย อุตสาหกรรมเกษตรในภูมิภาคที่จะทำกับจีนได้มากขึ้น รวมถึงการค้าและอุตสาหกรรมอื่น
โรดโชว์ดึงดูดนักลงทุน
รัฐบาลพยายามอย่างเต็มที่ แม้กระทั่งช่วงเวลายากลำบาก ต้องทำงานแข่งกับเวลา เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ตั้งแต่กรกฎาคมคู่ขนานกันไปกับปฏิบัติการเชิงรุก เพื่อพยายามสร้างระบบนิเวศ (ecosystem)
เป็นหน้าที่หลักของรัฐบาลในการเตรียมการให้พร้อมกับสิ่งใหม่ที่จะเกิดขึ้น เป็นระบบนิเวศใหม่ที่สะท้อนกับกระแสโลก เป็นระบบนิเวศใหม่ที่จะเสริมสร้างและเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญเพื่อพลิกโฉมโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ
หากมีโอกาสเราจะเดินหน้าดึงดูด ชักจูงนักลงทุนต่างประเทศให้เข้าใจและเข้ามาสู่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เราสร้างขึ้นมาใหม่ ในบริบทใหม่ที่สอดคล้องกับกระแสสังคมโลก
“ไม่ทิ้งและยังฝากผู้ประกอบการไทยให้เชื่อมั่นและลงทุน เพื่อต่อยอดในสิ่งที่ทำอยู่ ชาวต่างประเทศ 4 กลุ่มที่พร้อมจะเข้ามาพำนักอาศัยในประเทศไทยระยะยาว ไม่เพียงแต่มาท่องเที่ยว แต่มาสร้างมาร่วมพัฒนาประเทศไทยไปด้วยกัน”
รัฐบาลทำในสิ่งที่เป็นระบบนิเวศเพื่อสร้างไว้ ระบบราชการภายใต้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ได้กำชับและเร่งรัดให้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น ลดขั้นตอนการให้บริการภาคประชาชนชัดเจนมากขึ้น
ทุกอย่างจะพลิกโฉมประเทศไทย จะ Boost up Thailand ไม่สามารถเกิดขึ้นได้เพราะรัฐบาลแต่ฝ่ายเดียว แต่เกิดขึ้นจากความร่วมมือของทุกฝ่าย ทุกภาคส่วน ถ้าเราทำได้การพลิกโฉมประเทศไทยไม่ใช่เรื่องยาก
“ปีหน้าเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้น จีดีพี 5-6% ถ้าไม่เกิดการระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่”
สุพัฒนพงษ์ทิ้งท้ายว่า “ทุกมาตรการต้องร่วมมือกันรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ รักษาเสถียรภาพความมั่นคงในประเทศ เราจะนำพาประเทศไทยให้ฟื้นตัว เราจะไม่เหมือนเดิม เราจะเข้มแข็งมากกว่าเดิม ภายใต้บริบทใหม่ เราพร้อมแล้ว”