เผ่าภูมิ เพื่อไทย ชี้ เก็บภาษีคริปโท เท่ากับตัดตอนโอกาสทางธุรกิจยุคใหม่

เผ่าภูมิ โรจนสกุล
เผ่าภูมิ โรจนสกุล

รองเลขาฯ เพื่อไทย ชี้ เก็บภาษีคริปโท ตั้งแต่ตอนตั้งไข่ เท่ากับตัดตอนทางธุรกิจ หวั่นย้ายไปโตที่อื่น สูญเสียรายได้เป็นหมื่นเท่า

วันที่ 13 มกราคม 2565 นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย และผู้อำนวยการศูนย์นโยบายพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีการเก็บภาษีคริปโทเคอร์เรนซีว่า ปัจจุบันการต่อสู้ทางความคิดระหว่างนโยบายการเงินแบบเดิม กับคริปโทเคอร์เรนซี นั้นยังไม่สะเด็ดน้ำ ธนาคารกลางจำเป็นต้องเรียนรู้อีกมากถึงความเป็นไปได้ของการผสานนโยบายการเงินแบบเดิม ควบคู่กับคริปโท หรือแม้แต่การปล่อยให้คริปโทเป็นส่วนหนึ่งของระบบการเงิน

และคริปโทก็ยังต้องพิสูจน์ตัวเองอีกมาก ในการทำหน้าที่เป็นเงินตราดิจิทัล เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยน หรือแม้แต่มีการพูดกันไปไกลถึงการแทนที่ระบบธนาคารกลางเลย ซึ่งปัจจุบันยังเป็นเครื่องหมายคำถามที่ตัวใหญ่มาก ที่คริปโทต้องพยายามตอบ

วันนี้ยังไม่มีใครรู้ถึงทิศทางการพัฒนา วันนี้เรารู้แค่ว่าระบบการชำระเงินเดิมมีข้อจำกัด ธนาคารกลางเองก็ไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็ยังเร็วไปมากที่จะสรุปว่าคริปโทฯ เป็นคำตอบ และเร็วไปมากที่ภาครัฐจะตัดสินใจเชิงนโยบายบนความไม่รู้ ว่าจะเปิดรับ ต่อต้าน ปิดกั้น หรือสนับสนุนอย่างไร

จึงไม่เห็นด้วยกับการเร่งรีบกระโจนเข้าเก็บภาษีคริปโทของกรมสรรพากร ซึ่งถือเป็นมาตรการที่มีผลในเชิง ต่อต้าน การพัฒนาการของระบบการเงินรูปแบบใหม่นี้ ทั้งๆ ที่ในภาพใหญ่ในเชิงนโยบายยังไม่ได้ข้อสรุป สรรพากรข้ามไปคุยเรื่องเก็บภาษีอย่างไรแล้ว ทั้งที่ในภาพใหญ่เรายังไม่สะเด็ดน้ำเลยว่าควรจะเก็บหรือไม่ และเก็บเมื่อไหร่

Advertisment

ภาษีมีผลให้อุตสาหกรรมนั้น ๆ หดตัว รั้งพัฒนาการและการเติบโต คริปโท กำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้น การเริ่มเก็บภาษีกับธุรกิจรูปแบบใหม่อย่างนี้ จำเป็นต้องรอให้อุตสาหกรรมนั้นเซ็ทตัวได้ในระดับหนึ่งก่อน การเริ่มเก็บภาษีเร็วไปเหมือนเป็นการตัดตอนโอกาสทางธุรกิจ โอกาสการระดมทุนและการสร้างธุรกิจในโลกยุคใหม่

นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า ในอนาคตตลาดคริปโทไทยอาจจะใหญ่กว่านี้เป็นพันเป็นหมึ่นเท่า ถึงตอนนั้นการเก็บภาษีจึงคุ้มค่าที่จะทำ และหากคริปโทฯ ไม่โตในไทยเนื่องจากโดนภาษี ทุนสามารถย้ายไปโตที่อื่นได้ภายในเสี้ยววินาที นี่คือการเสียโอกาส อีกทั้งถ้าคริปโทบนดินถูกตัดตอน คริปโทใต้ดินก็จะเกิดขึ้น ซึ่งนั่นยิ่งสร้างความซับซ้อนขึ้นไปอีก

“จึงอยากให้ภาครัฐแยกคิดระหว่างการกำกับดูแลคริปโทกับการกีดกันคริปโท ซึ่งมันเป็นคนละเรื่องกัน ผมเห็นว่าการกำกับดูแลควรทำในระดับที่เหมาะสม แต่ไม่เห็นด้วยกับการกีดกันเพราะปัจจุบันคริปโทไม่ใช่ภัยคุกคาม คริปโทฯควรสามารถโตขึ้นได้ โดยคริปโทก็มีหน้าที่พิสูจน์ตัวเองไปเรื่อย ๆ โดยที่ระหว่างนี้ก็ไม่ได้สร้างความเสียหายต่อระบบการเงินแต่อย่างใด หลักคิดของรัฐต่อคริปโตจึงควรเป็นปล่อยให้โตแล้วค่อยตัดแต่งโดยการกำกับที่เหมาะสม แต่ไม่ใช่ตัดตอนตอนยังเป็นต้นกล้า” นายเผ่าภูมิ กล่าว

นายเผ่าภูมิ ยังกล่าวอีกว่า ภาครัฐและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ควรทุ่มเทเวลากับการพัฒนาระบบการเงินให้สอดคล้องกับภูมิทัศน์ทางการเงินของโลกยุคใหม่ ควรเร่งทำสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (Retail CBDC) ซึ่งเป็นตรงกลางระหว่าง Fiat Money และคริปโทเพื่อลบข้อจำกัดของระบบการชำระเงินเดิม ธปท.ควรทำหน้าที่ของตนโดยการทำ CBDC ให้แข็งแรง เป็นที่ยอมรับ เพิ่มประสิทธิภาพของระบบการเงินภาครัฐ สร้างโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินให้สอดคล้องกับพัฒนาการของภูมิทัศน์ทางการเงินที่เปลี่ยนไป

Advertisment