REIC เผยเทรนด์อสังหาฯภาคอีสานครึ่งปีแรก 2564 ซัพพลาย-ดีมานด์ทรงตัว

REIC-ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ได้ทำการสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในช่วงครึ่งปีแรก2563 ซึ่งเป็นการสำรวจโครงการบ้านจัดสรรและอาคารชุด ที่มีหน่วยเหลือขายไม่ต่ำกว่า 6 หน่วย พบว่ามีหน่วยที่อยู่อาศัยอยู่ระหว่างขาย 305 โครงการ จำนวน 15,409 หน่วย มูลค่ารวม 53,967 ล้านบาท

จำแนกเป็นบ้านจัดสรร 256 โครงการ 12,187 หน่วย มูลค่า 45,951 ล้านบาท และอาคารชุด 49 โครงการ 3,222 หน่วย มูลค่า 8,017 ล้านบาท โดยมีหน่วยเหลือขาย ณ 30 มิถุนายน 2563 จำนวน 12,559 หน่วย และในช่วงครึ่งปีแรก 2563 มีหน่วยขายได้ใหม่ 2,850 หน่วย

ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคาร และรักษาการผู้อำนวยการ REIC เปิดเผยว่า พื้นที่ภาคอีสานมีอัตราการเปลี่ยนแปลงของหน่วยอยู่ระหว่างขาย (Total Supply) เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 และยังสูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 Half ล่าสุด โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของบ้านจัดสรร ร้อยละ 4.1 แต่อาคารชุดลดลงร้อยละ -7.8

ในด้านหน่วยเปิดขายใหม่มีจำนวนลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2562 ร้อยละ -9.4 แต่หน่วยขายได้ใหม่มีอัตราการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นเล็กน้อยร้อยละ 3.1 และหน่วยเหลือขายเพิ่มขึ้นเล็กน้อยร้อยละ 0.9 เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี 2562

รายละเอียดรายพื้นที่ ดังนี้ จังหวัดขอนแก่นมี Total Supply เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2562 มากที่สุด ร้อยละ 12.6 รองลงมานครราชสีมาร้อยละ 3.7, มหาสารคาม ร้อยละ 1.0, อุบลราชธานี และอุดรธานี มีลดลงร้อยละ -25.3 และ -7.5 ตามลำดับ

ในช่วงครึ่งปีแรก2563 เปิดขายใหม่ 28 โครงการ จำนวน 2,093 หน่วย มูลค่ารวม 6,121 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 25 โครงการ 1,559 หน่วย มูลค่า 5,306 ล้านบาท และอาคารชุด 3 โครงการ 534 หน่วย มูลค่ารวม 815 ล้านบาท

โดยนครราชสีมา มีโครงการเปิดขายใหม่มากที่สุด 12 โครงการ ประกอบด้วย บ้านจัดสรร 11 โครงการ อาคารชุด 1 โครงการ รวม 1,063 หน่วย มูลค่า 3,037 ล้านบาท รองลงมาคือขอนแก่น เปิดใหม่ 7 โครงการ เป็นบ้านจัดสรร 6 โครงการ าคารชุด 1 โครงการ รวม 595 หน่วย มูลค่า 1,469 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม หน่วยเหลือขายและหน่วยขายได้ใหม่ ยังคงเป็นประเด็นที่น่าจับตา โดยครึ่งปีแรก 2563 ภาคอีสานมีซัพพลายเหลือขาย 12,599 หน่วย มูลค่า 44,680 ล้านบาท เป็นบ้านจัดสรร 9,965 หน่วย มูลค่า 38,142 ล้านบาท และอาคารชุด 2,594 หน่วย มูลค่า 6,539 ล้านบาท

ในด้านราคาพบว่า หน่วยเหลือขายบ้านจัดสรรส่วนใหญ่ราคา 3–5 ล้านบาท มีจำนวน 4,471 หน่วย สัดส่วนร้อยละ 44.9 อาคารชุดเหลือขายส่วนใหญ่ราคา 1.5-2 ล้านบาท จำนวน 1,022 หน่วย สัดส่วนร้อยละ 39.4

ทั้งนี้ บ้านจัดสรรที่มีมูลค่าหน่วยเหลือขายมากที่สุดอยู่ในช่วง 3–5ล้านบาท  มูลค่ารวม 17,705 ล้านบาท สัดส่วนร้อยละ 46.4 อาคารชุดส่วนใหญ่มีมูลค่าเหลือขาย 1.5–2 ล้านบาท มูลค่ารวม 1,769 ล้านบาท สัดส่วนร้อยละ 27.1

ขณะที่หน่วยขายได้ใหม่มี 2,850 หน่วย มูลค่า 9,287 ล้านบาท เป็นบ้านจัดสรร 2,222 หน่วย มูลค่า 7,809 ล้านบาท และอาคารชุด 628 หน่วย มูลค่า 1,478 ล้านบาท

โดยหน่วยบ้านจัดสรรขายได้ใหม่มากที่สุดราคา 3–5 ล้านบาท มี 848 หน่วย สัดส่วนร้อยละ 38.2 และอาคารชุดราคา 1-1.5 ล้านบาท จำนวน 252 หน่วย สัดส่วนร้อยละ 40.1

ทั้งนี้ บ้านจัดสรรขายได้ใหม่ส่วนใหญ่ราคา 3–5 ล้านบาท มูลค่ารวม 3,401 ล้านบาท สัดส่วนร้อยละ 43.6 และอาคารชุดอยู่ในช่วง 1.5–2 ล้านบาท มูลค่ารวม 399 ล้านบาท สัดส่วนร้อยละ 27.0

ในด้านสถานะการก่อสร้างพบว่า ร้อยละ 50.7 ยังไม่ก่อสร้าง รองลงมาสร้างเสร็จแล้วร้อยละ 30.5 และร้อยละ 18.7 อยู่ระหว่างการสร้างแล้ว

แยกตามประเภทพบว่า บ้านจัดสรรร้อยละ 60.5 ยังไม่ก่อสร้าง, อยู่ระหว่างสร้างร้อยละ 18.7 และสร้างเสร็จแล้วร้อยละ 20.8 ขณะที่อาคารชุดสร้างเสร็จแล้วร้อยละ 68.0, อยู่ระหว่างก่อสร้างร้อยละ 18.9 และยังไม่ก่อสร้างร้อยละ 13.1 ตามลำดับ

ด้านอัตราดูดซับ หรือ Absorption Rate ในช่วงครึ่งปีแรก 2563 พบว่า มีอัตราดูดซับต่อเดือนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 3.0 เป็น 3.1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 3.0

โดยบ้านจัดสรรดูดซับเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.9 เพิ่มเป็นร้อยละ 3.0, อาคารชุดมีอัตราดูดซับลดลงจากร้อยละ 3.4 อยู่ที่ร้อยละ 3.2

โดยมีท็อป 3 ทำเลขายได้ใหม่มากที่สุด ได้แก่ ทำเลบ้านใหม่-โคกกรวด, ในเมืองนครราชสีมา และทำเลจอหอ ตามลำดับ

ท็อป 3 ทำเลเหลือขายมากที่สุด ได้แก่ ทำเลจอหอ, ในเมืองนครราชสีมา และบ้านใหม่-โคกกรวด ตามลำดับ

แนวโน้มปี 2564 คาดว่า ณ ครึ่งปีหลัง 2563 จะมีที่อยู่อาศัยรอการขาย 14,718 หน่วย มูลค่าหน่วยเหลือขาย 55,037 ล้านบาท แนวโน้มครึ่งปีแรก 2564 ทรงตัวที่ 14,728 หน่วย มูลค่าหน่วยเหลือขายลดเหลือ 52,106 ล้านบาท

ในขณะที่อัตราดูดซับต่อเดือนของบ้านจัดสรร คาดว่าลดลงอยู่ที่ร้อยละ 1.7 ในครึ่งปีหลัง 2563 และเพิ่มขึ้นเป็น 2.1 ในครึ่งปีแรก 2564

ส่วนอัตราดูดซับต่อเดือนของอาคารชุดคาดว่าลดลงมาอยูที่ร้อยละ 1.1 ในครึ่งปีหลัง 2563 และเพิ่มเล็กน้อยเป็นร้อยละ 1.2 ในครึ่งปีแรก 2564

ด้านการเปิดตัวโครงการใหม่คาดว่ายังคงลดลงต่อเนื่องอยู่ที่ 1,367 หน่วย ในครึ่งปีหลัง 2563 และเปิดใหม่ 1,504 หน่วยในครึ่งปีแรก 2564

ในขณะที่หน่วยโอนกรรมสิทธิ์ ณ ครึ่งปีหลัง 2563 คาดว่ามีจำนว 8,378 หน่วย มูลค่า 10,293 ล้านบาท และคาดว่าเพิ่มเป็น 10,389 หน่วย มูลค่า 11,072 ล้านบาทในครึ่งปีแรก 2564 ภายใต้ตัวแปรที่ยังไม่มีเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2563