มั่นคงฯ คว้ารายได้ Q1/64 500 ล้าน เล็งขยายธุรกิจโรงงาน-คลังสินค้าให้เช่าเพิ่ม

มั่นคงฯ เผยผลประกอบการไตรมาส 1/2564 รายได้รวม 571 ล้านบาท เดินหน้าเปิดโครงการใหม่ 3 โครงการ มูลค่ารวม 2,347 ล้านบาทตามแผน พร้อมขยายธุรกิจโรงงานและคลังสินค้าให้เช่า “โครงการบางกอกฟรีเทรดโซน” เพิ่มอีก 2 แห่งภายในสิ้นปี 2564 นี้

วันที่ 18 พฤษภาคม 2564 นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/64 มีรายได้รวม 571.53 ล้านบาท มาจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 448 ล้านบาท ลดลง -48.92 ล้านบาท หรือลดลง 9-.85% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันก่อนที่มีรายได้ 496.92 ล้านบาท เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 มีอัตราส่วนกำไรขั้นต้น 27.25% เพิ่มขึ้นจากช่วงสิ้นปี 2563 ที่มีอัตราส่วนกำไรขั้นต้น 24.4% ซึ่งนับเป็นสัญญาณที่ดีในการดำเนินธุรกิจ

สำหรับธุรกิจเพื่อเช่าและบริการ (Recurring Income) มีรายได้ 74.44 ล้านบาท เป็นรายได้จากโครงการ “บางกอกฟรีเทรดโซน” (Bangkok Free Trade Zone : BFTZ) 57.44 ล้านบาท มีอัตราการเช่า (Occupancy rate) 93% ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากไตรมาส 3/2563 บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ได้ขายทรัพย์สิน 45% เข้าทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ พรอสเพค โลจิสติกส์และอินดัสเทรียล (กองทรัสต์) โดยรับรู้กำไรจากการขายทรัพย์สินดังกล่าวจำนวน 263.3 ล้านบาท

วรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์
วรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์

อย่างไรก็ดี หากเปรียบเทียบรายได้ภายหลังการขายทรัพย์สินบางส่วน บริษัทย่อยได้กลับมามีรายได้เพิ่มขึ้น 13% 51 ล้านบาท ในไตรมาส 4/63 คาดการณ์ว่าจะใช้ระยะเวลาอีกประมาณ 1 ปี ที่จะทำให้กลับมามีมูลค่าทรัพย์สินเท่าเดิมก่อนขายเข้าให้กองทรัสต์ฯ

สำหรับธุรกิจสนามกอล์ฟและธุรกิจบริการอสังหาริมทรัพย์มีรายได้ 44.61 ล้านบาท ยังคงสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจบริหารอสังหาริมทรัพย์ที่มียอดรับรู้รายได้ 16.95 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 80.69% โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากการบริหารทรัพย์สินในกองทรัสต์ของ “บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด” และรายได้จากการจัดการกองทุนทรัสต์ของ “บริษัท พรอสเพค รีท แมเนจเมนท์ จำกัด” ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขั้นต้นของธุรกิจบริหารอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น 6.27 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 179.93% และนับเป็นอีกหนึ่งธุรกิจของกลุ่มบริษัทที่ไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19

ด้านธุรกิจเพื่อสุขภาพโครงการรักษ (RAKxa) ที่เปิดให้บริการเต็มรูปแบบตั้งแต่เดือนธันวาคม 2563 นั้น ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 เนื่องจากลูกค้าชาวต่างชาติยังไม่สามารถเดินทางเข้ามาใช้บริการได้ บริษัทปรับกลยุทธ์เชิงรุก สร้างการรับรู้เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าภายในประเทศมากขึ้น และเน้นขาย Membership โดยปัจจุบันมีรายได้ค่าสมาชิก 50 ล้านบาท

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในแต่ละธุรกิจหลักนั้นอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ เนื่องจากแผนธุรกิจ 5 ปีที่มุ่งเน้นเพิ่มสัดส่วนกำไรในกลุ่มธุรกิจเพื่อเช่าและการบริการ (Recurring Income) ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถช่วยลดผลกระทบจากปัจจัยลบของสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ประกอบกับกลุ่มธุรกิจของบริษัทฯมีการจัดการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

“จากภาพรวมธุรกิจตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาค่อนข้างได้รับผลกระทบอย่างรวดเร็วจากโควิด-19 ระลอกใหม่ ถ้าสามารถดำเนินการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนได้ 50% ของจำนวนประชากรทั้งหมด คาดจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจโดยรวมค่อย ๆ กลับคืนมาอีกครั้งในช่วงไตรมาส 3 โดยมั่นคงฯยังคงเดินหน้าตามแผนที่วางไว้ เตรียมเปิดตัวใหม่ 3 โครงการ มูลค่ารวม 2,347 ล้านบาท และขยายธุรกิจโรงงานและคลังสินค้าให้เช่าโครงการบางกอกฟรีเทรดโซนเพิ่มอีก 2 แห่ง 120,000 ตารางเมตร” นายวรสิทธิ์กล่าว