29 ก.ย. “วันหัวใจโลก” โรชเผยสถิติโรค CVD หนุนการวินิจฉัยที่ถูกต้อง

หัวใจ
Photo: Jesse Orrico/unsplash

29 กันยายน “วันหัวใจโลก” โรชเผยสถิติโรคหัวใจและหลอดเลือด สร้างความตระหนักให้ทุกคนดูแลหัวใจ และได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง

หัวใจที่แข็งแรงเป็นประตูสู่การมีสุขภาพที่ดี ดังนั้นเพื่อกระตุ้นเตือนให้ประชาชนทั่วโลกตระหนักถึงโรคหัวใจและหลอดเลือด (cardiovascular disease : CVD) ตลอดจนสร้างแรงบันดาลใจในการขับเคลื่อนการช่วยเหลือผู้คนทั่วโลกให้มีวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดี สหพันธ์หัวใจโลกจึงกำหนดให้วันที่ 29 กันยายนของทุกปี เป็นวันหัวใจโลก (World Heart Day) และสำหรับธีมรณรงค์ในปี 2566 นี้ คือ “Use heart, Know heart is open-ended”

ด้วยจำนวนผู้ป่วยโรคหัวใจที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก และในทุกปีพบว่าผู้คนหลายล้านคนเสียชีวิตด้วยสาเหตุมาจากโรคหัวใจ ทำให้โรคหัวใจและหลอดเลือด (CVD) กลายเป็นประเด็นที่น่ากังวล จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization : WHO) ระบุว่า โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุการเสียชีวิต อันดับ 1 ของโลก และในเอเชียพบจำนวนผู้เสียชีวิตด้วยโรคนี้มากที่สุด โดยสูงถึง 58% ของจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมดจากทั่วโลก หรือเป็นจำนวน 10.8 ล้านคน

ขณะที่ประเทศไทย พบผู้ป่วยเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด เฉลี่ยชั่วโมงละ 7 คน หรือ 58,681 คนต่อปี และอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี (ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข)

โรชเผยสถิติโรคหัวใจและหลอดเลือด

ตามรายงาน “Heart Failure Unseen : Unmasking the gaps and escalating crisis in Asia Pacific” ของ “โรช” (Roche) ระบุว่า ในเวลาไม่ถึง 3 ทศวรรษ ระหว่างปี 2533-2562 การเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดทั่วภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกเพิ่มขึ้นถึง 12% หรือเท่ากับ 5.2 ล้านคน เนื่องจากจำนวนของประชากรที่เพิ่มขึ้น การขยายตัวของชุมชนเมือง การเพิ่มขึ้นของประชากรสูงวัย

รวมถึงแนวโน้มการเป็นโรคอ้วนและโรคเรื้อรังที่เพิ่มขึ้น จึงส่งผลให้มีผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และคาดว่าจะมีแนวโน้มที่สูงขึ้น ซึ่งรวมถึงภาวะหัวใจล้มเหลว (heart failure) ทั้งนี้ ภาวะหัวใจล้มเหลวเป็นสาเหตุหลักทางระบบหัวใจและหลอดเลือดที่ทำให้ผู้คนทั่วโลกต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล และมีอัตราเสียชีวิตสูง (เกินกว่า 50% ในระยะเวลา 5 ปี)

ปัจจัยเสี่ยงและอาการ

ปัจจัยเสี่ยงด้านพฤติกรรม ที่สำคัญที่สุดของโรคหัวใจและหลอดเลือด ได้แก่ การรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ การไม่ออกกำลังกาย การสูบบุหรี่ และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากเป็นประจำ เมื่อโรคหัวใจมีความรุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้ร่างกายทรุดโทรมลง อาจนำไปสู่การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และมีโอกาสเสียชีวิตสูงขึ้น ดังนั้น การตรวจพบโรคและได้รับการรักษาแต่เนิ่น ๆ ด้วยการตรวจวินิจฉัยที่ทันสมัยจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในการป้องกันไม่ให้โรคหัวใจได้มีโอกาสทำลายสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี

ปัญหาใหญ่ของแพทย์-การวินิจฉัย

จากรายงาน Heart Failure Unseen : Unmasking the gaps and escalating crisis in Asia Pacific ได้ทำการศึกษาความไม่เพียงพอของมาตรฐานการดูแลรักษาภาวะหัวใจล้มเหลวในเอเชีย-แปซิฟิกในปัจจุบัน โดยพบว่า ปัญหาใหญ่ที่แพทย์ต้องเผชิญเมื่อวินิจฉัยภาวะหัวใจล้มเหลว คือการวินิจฉัยโดยพิจารณาจากอาการเป็นหลัก อาจเนื่องมาจากการเข้าถึงเทคโนโลยีทางการวินิจฉัย และการตรวจตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ (biological marker หรือ biomarker) ที่จำกัด

การวินิจฉัยภาวะหัวใจล้มเหลวโดยพิจารณาจากอาการเพียงอย่างเดียวคือหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยโรคหัวใจจำนวน 16.1% ได้รับการวินิจฉัยที่ผิดพลาดจากโรงพยาบาล เนื่องจากอาการที่แสดงออกของภาวะหัวใจล้มเหลว เช่น หายใจลำบาก คลื่นไส้ อ่อนเพลีย มีความคล้ายคลึงกับอาการป่วยอื่น ๆ ที่ไม่ใช่โรคร้ายแรง

ประโยชน์ของ Biomarker

การตรวจคัดกรอง การวินิจฉัยที่ดีขึ้น และการยกระดับการเฝ้าระวังโรคที่ดีขึ้น เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งเพื่อลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจ ตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ หรือ biomarker ต่าง ๆ ของระบบหัวใจและหลอดเลือด (cardiacbiomarker) อย่างเช่น NT-proBNP สามารถมอบภาพรวมที่เป็นประโยชน์กับงานวินิจฉัยและการบริหารจัดการผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลว ซึ่งการได้เห็นภาพรวมในเรื่องสุขภาพ

ร่วมกับการมีข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ ช่วยให้แพทย์สามารถเลือกรูปแบบการรักษาภาวะหัวใจล้มเหลวได้เป็นอย่างดี และเหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย นอกเหนือจากแนวปฏิบัติทางคลินิกระดับสากลที่แนะนำให้ใช้ NT-proBNP เป็นเครื่องมือในการวินิจฉัยแล้ว การศึกษาจากภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกยังแสดงหลักฐานที่สะท้อนคำแนะนำเหล่านี้อีกด้วย

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ

ภาวะหัวใจล้มเหลวถือเป็นภาระอันหนักหน่วง เมื่อมองในมุมของการเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลและการเสียชีวิต อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายในการรักษาทั้งทางตรงและทางอ้อมที่เกิดขึ้น ค่าใช้จ่ายทางตรง อาทิ ค่าพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ค่ายา ค่าบำบัดฟื้นฟูสภาพ และค่ารักษาสำหรับผู้ป่วยนอก

ส่วนค่าใช้จ่ายทางอ้อม อาทิ ค่าความสูญเสียจากการทำงานได้ไม่เต็มที่ ค่ารักษานอกสถานพยาบาล และค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเนื่องจากเสียชีวิตหรือเกษียณอายุก่อนเวลาอันควร

ในประเทศไทย มีตัวเลขประมาณการของค่าใช้จ่ายทางตรง 0.6 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี หรือประมาณ 2.1 หมื่นล้านบาทต่อปี และค่าใช้จ่ายทางอ้อม 0.7 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี หรือประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาทต่อปี แบ่งเป็นค่าพักรักษาตัวในโรงพยาบาล 49%

ในขณะที่ค่าตรวจวินิจฉัยภาวะหัวใจล้มเหลว รายปีต่อหัว อยู่ที่ 3,513 เหรียญสหรัฐต่อปี หรือประมาณ 1.25 แสนบาท ค่าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลของผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลว 7,181 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2.5 แสนบาท และระยะเวลาพักรักษาตัวในโรงพยาบาลเฉลี่ยคนละ 14.2 วัน

จากข้อมูลที่ตีพิมพ์ในวารสาร International Journal of Cardiology แสดงให้เห็นว่า ผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวในเอเชียมักต้องกลับเข้ามารักษาตัวในโรงพยาบาลอีกครั้งหลังออกจากโรงพยาบาลได้ไม่เกิน 30 วัน ทั้งนี้ การตรวจหาค่า NT-proBNP จะช่วยลดระยะเวลารักษาตัวในโรงพยาบาลได้ถึง 12% ลดค่าใช้จ่ายในการรักษาโดยตรงได้ถึง 10% และลดอัตราการแอดมิตฉุกเฉินได้ถึง 50%

ดังนั้น การดูแลรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดที่ไม่ดีพอ นำไปสู่การเพิ่มค่าใช้จ่ายจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์ในระบบสาธารณสุข อีกทั้งยังส่งผลกระทบทางการเงินของผู้ป่วยในประเทศที่ไม่มีสวัสดิการครอบคลุมในส่วนนี้และต้องออกค่าใช้จ่ายด้วยตนเอง

ห่างไกลจากโรคหัวใจและหลอดเลือด

WHO ระบุว่า การเลิกสูบบุหรี่ การลดกินเค็ม การรับประทานผักและผลไม้มากขึ้น การออกกำลังกายเป็นประจำ และการงดเว้นการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สามารถลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดได้

ประเทศต่าง ๆ ควรส่งเสริมนโยบายด้านสุขภาพที่สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยในการตัดสินใจเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพในราคาที่เอื้อมถึงและหาได้ง่าย เพื่อจูงใจให้ผู้คนมีพฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพ

29 กันยายน วันหัวใจโลก

ธีมวันหัวใจโลก (World Heart Day) ปี 2566 “Use heart, know heart is open-ended” กระตุ้นให้ทุกคนดูแลหัวใจของตนเองและผู้อื่น แคมเปญปีนี้เน้นไปที่ขั้นตอนสำคัญในการเข้าใจหัวใจก่อน “เพราะเมื่อเรารู้มากขึ้น เราก็สามารถดูแลได้ดีขึ้น”

ซึ่งในโลกที่ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพหัวใจมีจำกัดและนโยบายไม่เพียงพอในแต่ละประเทศ สหพันธ์หัวใจโลกจึงมีเป้าหมายที่จะทลายกำแพงและมอบอำนาจให้แต่ละบุคคลควบคุมความเป็นอยู่ที่ดีของตนได้ ปีนี้สหพันธ์หัวใจโลกส่งเสริมให้ผู้คนใช้อิโมจิสัญลักษณ์หัวใจ ❤️ เป็นภาษาภาพสื่อสารต่อกัน เพื่อแสดงความห่วงใยต่อคนที่อยู่รอบตัว และสร้างความตระหนักถึงการดูแลรักษาให้ใจที่ถูกวิธี