ไทยวาโก้ ชู “อองฟองต์” ผลิตเสื้อผ้าเด็กใส่ใจสิ่งแวดล้อม

ชุติมา ประเสริฐศรี-พงษ์สันติ์ วงษ์เสริมหิรัญ
ชุติมา ประเสริฐศรี-พงษ์สันติ์ วงษ์เสริมหิรัญ

บริษัท ไทยวาโก้ จำกัด (มหาชน)นอกจากจะเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ผลิตชุดชั้นในสตรี ชุดลำลองสตรีแล้ว ยังเป็นผู้ผลิตเสื้อผ้าเด็ก “อองฟองต์ (Enfant)” ซึ่งอยู่ในตลาดมากว่า 39 ปี จัดจำหน่ายโดยบริษัท ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)

โรงงานผลิตตั้งอยู่ซอยเจริญราษฎร์ 7 แขวงบางโคล่ เขตบางคอแหลม กรุงเทพฯ ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล และระดับ Go Green Factory และ Eco Factory ที่ให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อม และการใช้พลังงานทางเลือกอีกด้วย

“ชุติมา ประเสริฐศรี” ผู้อำนวยการผลิตภัณฑ์อองฟองต์ ฉายภาพแบรนด์อองฟองต์ว่า เราดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด “รักลูกของคุณ รักโลกของเรา” โดยให้ความสำคัญกับ 3 เรื่องหลัก ๆ คือ อย่างแรก เนื้อผ้าต้องคัดสรรวัตถุดิบจากธรรมชาติที่นุ่มสบายและย่อยสลายกลับคืนสู่ธรรมชาติได้

อองฟองต์เลือกใช้เส้นใยจากฝ้ายเกรดพรีเมี่ยม และได้มาตรฐาน COTTON USA ทั้งยังมีการนำเอาเส้นใยจากไผ่มาทอผสมผสานกับเส้นใยฝ้าย โดยคิดสัดส่วนเป็นเส้นใยไผ่ 60% ฝ้าย 40% ซึ่งจะทำให้ผ้ามีความนุ่มลื่นมากขึ้นสวมใส่สบาย

ต่อมาคือการออกแบบเสื้อผ้า การผลิตเสื้อผ้าเด็ก เราต้องออกแบบให้เอื้อต่อพัฒนาการของเด็กแต่ละช่วงวัย ซึ่งเราได้ทำงานร่วมกับสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เก็บข้อมูลจากเด็กทั่วประเทศ เพื่อหาค่าเฉลี่ยในการออกแบบแพตเทิร์น

อย่างเช่นเด็กวัยแรกเกิดจะมีลักษณะพิเศษที่เราออกแบบเสื้อป้ายอุ่นอกไร้ตะเข็บข้าง เพราะเวลาที่พาเด็กแรกเกิดออกไปเผชิญโลกภายนอกเขาจะต้องการความอบอุ่นพิเศษ ซึ่งเราก็ออกแบบโดยใช้ผ้าทั้งผืน ไม่ใช่เอาผ้ามาเย็บต่อกัน เพื่อทำให้ไม่มีตะเข็บ เพราะจะทำให้เกิดการเสียดสีกับผิวเด็ก

และยังมีกางเกงก้นกว้าง เพราะเด็กจะมีลักษณะขากางออก ถ้าเราทำกางเกงที่มีความแคบหรือพอดี จะทำให้เกิดการรัดตึง ไม่สบายตัว ฉะนั้นเวลาที่เราออกแบบอองฟองต์ จะดูความต้องการ คำนึงถึงสรีระของเด็กว่าเป็นอย่างไร

ที่สำคัญคือ ด้านสุขอนามัยและความปลอดภัย เสื้อผ้าเด็กจะต้องปลอดสารก่อมะเร็ง ปลอดสารฟอร์มาลดีไฮด์ ปลอดสารโลหะหนัก เพราะเด็กมีโอกาสที่จะนำเสื้อผ้าเข้าปาก ดังนั้นทุกกระบวนการผลิตจะมีการทดสอบคุณภาพ ทดสอบสารตกค้างและการตรวจจับโลหะ เป็นต้น

“พงษ์สันติ์ วงษ์เสริมหิรัญ” ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยพัฒนาและนวัตกรรม บริษัท ไทยวาโก้ จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า อองฟองต์มีห้องแล็บสำหรับควบคุมคุณภาพสินค้า มีการทดสอบทั้งด้านกายภาพ การยืดตัวของผ้า ความแข็งแรง ยืดหยุ่น คงทนต่อการใช้งาน ทั้งยังมีการทดสอบด้านเคมีต่าง ๆ เพื่อความปลอดภัยของลูกน้อยด้วย

วัตถุดิบที่เรานำมาผลิตเสื้อผ้า เราใช้ฝ้ายยั่งยืนที่มาจากการปลูกในพื้นที่ใช้น้ำน้อย เนื่องจากการปลูกฝ้ายแบบดั้งเดิม มีการใช้น้ำปริมาณมหาศาล ซึ่งฝ้ายที่เราใช้ มาจากการปลูกที่มีการปรับปรุงกระบวนการและปรับปรุงพันธุกรรม ให้มีการใช้น้ำเพียงแค่ 20% เท่านั้น อีกทั้งยังไร้สารตกค้าง อาทิ ยาฆ่าแมลง ลดการใช้ปุ๋ย สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่อากาศลงไปได้ 40%

นอกจากนี้ ในส่วนของเส้นใยไผ่ ก็ได้มาจากป่าปลูก Forest Stewardship Council (FSC) ซึ่งการที่เราใช้เส้นใยจากไผ่ นอกจากคุณภาพดีเมื่อนำมาทอผสมฝ้ายได้ความนุ่มลื่นแล้ว ยังเป็นพืชที่ปลูกง่าย โตเร็ว ทั้งยังใช้น้ำน้อย สามารถดูดซับคาร์บอนได้ดี ที่สำคัญ ยังมีสารบางชนิดแอนตี้แบคทีเรียด้วย

“พงษ์สันติ์” กล่าวต่อว่า เราให้ความสำคัญกับการจัดการวัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันวัตถุดิบที่ใช้เราแทบจะใช้ครบ 90% เพราะทุกครั้งก่อนผลิตจะต้องวางแบบ คำนวณอย่างดี ส่วนเศษที่เหลือนำมารีไซเคิลใช้งานอย่างอื่น ซึ่งปัจจุบันเศษผ้าจากที่เหลือ 10% ตอนนี้เหลือเพียง 2% และบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ต้องมาจากรีไซเคิล

ในส่วนของโรงงาน ปัจจุบันอองฟองต์ผลิตภายใต้โรงงานสีเขียวระดับ 4 มีการติดตั้งโซลาร์รูฟ หรือโซลาร์เซลล์เพื่อลดการใช้พลังงานที่มาจากฟอสซิล โดยสัดส่วนการใช้พลังงานไฟฟ้าในโรงงานของเรา 70-80% เป็นการใช้เครื่องปรับอากาศเพื่อให้ความสะดวกสบายแก่พนักงาน ที่ผ่านมามีการเปลี่ยนใช้เครื่องปรับอากาศระบบชิลเลอร์ และใช้สารให้ความเย็นที่ปลอดภัยต่อโลก ซึ่งทำให้เราสามารถลดการใช้พลังงานตรงนี้ลงได้

นอกจากนี้ในโรงงานของไทยวาโก้ เราออกแบบให้มีพื้นที่สีเขียว เพราะเดิมตามกฎระเบียบโรงงานจะต้องมีพื้นที่สีเขียวไม่ต่ำกว่า 5% แต่ไทยวาโก้มีพื้นที่สีเขียว 10% ซึ่งถือว่าเยอะกว่ามาตรฐาน อีกทั้งยังมีการปลูกข้างนอกโรงงาน ทุก ๆ ปีร่วมกับองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ปีละ 500 ต้นกระจายไปทั่วประเทศ เพื่ออนาคตเราจะเคลมเรื่องของคาร์บอนเครดิต ที่ชดเชยในส่วนที่เรายังลดไม่ได้ เพราะเรามีเป้าหมายว่าจะลดใช้พลังงาน ลดคาร์บอนฟุตพรินต์ลง 30% ภายในปี ค.ศ. 2030 จากนั้นปี ค.ศ. 2050 มุ่งสู่ Net Zero

ไทยวาโก้ให้ความสำคัญกับ ESG มาก ซึ่งไม่ใช่เราคนเดียว แต่ซัพพลายเชนที่เราใช้ทั้งหมดต้องผ่านการประเมินทางด้าน ESG เหมือนกัน เรายั่งยืน คู่ค้าเราก็ต้องยั่งยืนด้วย เพราะฉะนั้นต้องเลือกคู่ค้าที่ยั่งยืนไปกับเราทั้งกระบวนการผลิต และเรายังให้ความสำคัญกับชุมชนรอบ ๆ มีการจัดกิจกรรมร่วมกับชุมชนเสมอมา

อย่างไรก็ตาม เป้าหมายต่อไปก็ยังจะดำเนินการเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง และมีแผนจะทยอยเปลี่ยนใช้รถพลังงานไฟฟ้าในการขนส่งสินค้า รวมถึงรถผู้บริหารด้วย และยังวางแผนจะลุยโครงการรับคืนสินค้าที่ไม่ใช้แล้วเพื่อนำไปบริจาค ของที่ใช้ไม่ได้จะนำไปเป็นพลังงานเชื้อเพลิงต่อไป