“ในแง่ของการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน เมื่อโลกเปลี่ยน นักลงทุนไม่ได้มองเรื่องการลงทุนเท่านั้น แต่ยังนำ Big Data มาช่วยวิเคราะห์ ว่าจะทำเรื่อง ESG ให้มากขึ้นได้อย่างไร”
ในงานสัมมนา “ภาคธุรกิจไทยในวิถียั่งยืน” ซึ่งจัดโดยมูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ และหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2563 ที่ผ่านมานั้น
- วิธีลงทะเบียนแอป ทางรัฐ ยืนยันตัวตน รับเงินดิจิทัล 10,000 บาท
- เปิด 20 อันดับโรงพยาบาลดีที่สุดในไทย ปี 2567
- ลุยตรวจย่านดัง กรุงเทพ-ปริมณฑล เอาผิดต่างชาติแย่งงานคนไทย
“ดร.ภากร ปีตธวัชชัย” กรรมการ และผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระบุว่า ในอดีตที่ผ่านมาตลาดทุนไทยถูกมองว่าข้อมูล “ไม่น่าเชื่อถือ”
ฉะนั้นโจทย์สำคัญจะทำอย่างไรให้น่าเชื่อถือ จึงมีการจัดทำกฎ ระเบียบต่าง ๆ และถือเป็นจุดเริ่มต้นให้มองเรื่อง Coperate Social Respondsibility หรือการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจที่มากขึ้น
นอกจากนี้ยังเกิดแนวคิดการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน หรือ ESG ในการดูแลสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ทำให้ทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง (Stakholders) มีความเข้าใจมากขึ้นในแง่ของการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเมื่อโลกเปลี่ยน นักลงทุนจึงไม่ได้มองเรื่องการลงทุนเท่านั้น แต่ยังนำ Big Data มาช่วยวิเคราะห์ ว่าจะทำเรื่อง ESG ให้มากขึ้นได้อย่างไร
อีกทั้งยังนำ Big Data มาใช้เปรียบเทียบกับภาคธุรกิจในอุตสาหกรรมเดียวกันว่ามีการดำเนินการด้านความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างไร และจากนั้นได้เกิดการ Platform ที่ใช้รวบรวมข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนที่ส่งรายงานมาที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ
สำหรับ platform ดังกล่าวนั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ มองอยู่ว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะสามารถใช้เชื่อมโยง องค์กรต่าง ๆ ให้ร่วมมือเชิงข้อมูล เกิดการพัฒนา platform ใหม่ ๆ จะมีความเป็นไปได้หรือไม่ที่เป้าหมายของแต่ละองค์กรมาใช้ Set link ต่อยอดข้อมูลไปจนถึงรายงานประจำปี (Annual Report) ส่งต่อไปนักวิเคราะห์ และนักลงทุน นำไปใช้ประโยชน์ต่อไป
“เรามองไปจนถึงขั้นที่ว่าข้อมูลในระบบจะถูกไปพัฒนาต่อให้เกิดความร่วมมือในรูปแบบการลงทุนร่วมระหว่างรัฐและเอกชน หรือรูปแบบที่เรียกว่า PPP (public private partnership) หรือในรูปแบบอื่นๆ ให้เกิดขึ้นในอนาคต” ดร.ภากร กล่าว