ประเทศไทยเผชิญกับความท้าทายมากมาย ทั้งมหันตภัยไวรัสโควิด-19 และเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ทางหนึ่งที่จะช่วยบรรเทาผลกระทบ คือการดำเนินชีวิตบนวิถีแห่งความยั่งยืน ผลเช่นนี้ จึงทำให้มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ ร่วมกับหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ จัดงานสัมมนาเพื่อสังคมแห่งปี ในหัวข้อ “ภาคธุรกิจไทยในวิถียั่งยืน”
โดยมีผู้นำจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และกุญแจความสำเร็จในการนำองค์กรสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับประเทศชาติรอดพ้นจากมหันตภัยต่าง ๆ
- “ทางรัฐ” ซูเปอร์แอปแห่งชาติ รองรับแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท
- สหรัฐ อังกฤษ ฝรั่งเศส ไทย และหลายชาติ ออกแถลงการณ์ร่วม เรียกร้องปล่อยตัวประกันในกาซา
- ล้งกระหน่ำทุบราคามังคุด จากโลละ 200 เหลือ 60 บาท
สำหรับช่วงสัมมนาในหัวข้อ “วิถียั่งยืน ชุบชีวิตธุรกิจ-สังคม (2)” มีผู้ร่วมเสวนาทั้งหมด 3 คน ได้แก่ “ดร.ภากร ปีตธวัชชัย” กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย “ศุภชัย เจียรวนนท์” นายกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย และประธานสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย และ “พิมพรรณ ดิศกุล ณ อยุธยา” ผู้อำนวยการเครือข่ายเพื่อความยั่งยืนแห่งประเทศไทย (TRBN)
Big Data ต่อยอดธุรกิจยั่งยืน
“ดร.ภากร” ระบุว่า ในอดีตผ่านมาตลาดทุนไทยถูกมองว่า ข้อมูล “ไม่น่าเชื่อถือ” ฉะนั้น โจทย์สำคัญคือจะทำอย่างไรให้น่าเชื่อถือ จึงมีการจัดทำกฎระเบียบต่าง ๆ และถือเป็นจุดเริ่มต้นให้มองเรื่อง corporate social responsibility (CSR) หรือการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจที่มากขึ้นจนทำให้เกิดเครื่องมือใหม่ ๆ เพื่อใช้ดูแลสังคม และสิ่งแวดล้อมในอนาคต
นอกจากนี้ ยังเกิดแนวคิดการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน หรือ ESG (environment สิ่งแวดล้อม, social สังคม, governance ธรรมาภิบาล) จนทำให้ทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง (stakeholders) มีความเข้าใจมากขึ้นในแง่ของการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโลกเปลี่ยน นักลงทุนจึงไม่ได้มองแค่เรื่องการลงทุนเท่านั้น แต่ยังนำ big data มาช่วยวิเคราะห์ว่าจะทำเรื่อง ESG ให้มากขึ้นได้อย่างไร
อีกทั้งยังนำ big data มาใช้เปรียบเทียบกับภาคธุรกิจในอุตสาหกรรมเดียวกันว่า มีการดำเนินการด้านความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างไร และจากนั้นจึงเกิดการทำแพลตฟอร์มที่ใช้รวบรวมข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนที่ส่งรายงานมาที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
สำหรับแพลตฟอร์มดังกล่าวยัง “เชื่อมโยง” องค์กรต่าง ๆ ให้ร่วมมือเชิงข้อมูลเพื่อให้เกิดการพัฒนาแพลตฟอร์มใหม่ ๆ แต่จะมีความเป็นไปได้หรือไม่อยู่ที่เป้าหมายของแต่ละองค์กรว่าจะนำมาใช้ SET link ต่อยอดข้อมูลไปจนถึงรายงานประจำปี เพื่อส่งต่อไปจนถึงนักวิเคราะห์และนักลงทุน ในการนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป
“เรามองไปจนถึงขั้นที่ว่า ข้อมูลในระบบจะถูกพัฒนาต่อให้เกิดความร่วมมือในรูปแบบการลงทุนร่วมระหว่างรัฐ และเอกชน หรือรูปแบบที่เรียกว่า PPP (public-private partnership) หรือในรูปแบบอื่น ๆ ให้เกิดขึ้นในอนาคต”
นอกจากนี้ CSR in practice จะเป็นสิ่งที่จะเข้ามาแสดงในงบการเงินของบริษัทจดทะเบียนเพื่อให้นักลงทุนเข้าใจและวิเคราะห์ความเสี่ยงของบริษัทต่อไป ปัจจุบันนักลงทุนให้ความสำคัญกับประเด็น ESG มากขึ้น ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ฯก็อำนวยความสะดวกแก่ผู้ลงทุนผ่านการนำเสนอข้อมูล ด้วยการจัดทำกลุ่มดัชนี เช่น ดัชนี SET THSI ที่รวบรวมบริษัทที่มีการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เป็นต้น
ขณะที่หนึ่งในแผนงานระยะข้างหน้าของตลาดหลักทรัพย์ฯสำหรับการจัดตั้งกระดานซื้อขายหลักทรัพย์ หรือตลาดหุ้นแห่งที่ 3 นอกจากจะเป็นความตั้งใจของตลาดหลักทรัพย์ฯในการเปิดช่องทางให้ธุรกิจขนาดเล็กอย่าง startup และ SMEs สามารถเข้ามาระดมทุนในตลาดทุนแล้ว ยังตั้งใจให้กระดานดังกล่าวเป็นช่องทางผลักดันให้เกิดความร่วมมือในรูปแบบวิสาหกิจชุมชน หรือ SE (social enterprise) เข้ามาระดมทุนได้อีกด้วย
Incentive สร้างความร่วมมือ
ขณะที่ “ศุภชัย” กล่าวว่า ความตระหนักรู้เป็นจุดเริ่มต้นของความยั่งยืน ซึ่งฟอรัมภาคธุรกิจไทย ในวิถียั่งยืน ครั้งนี้เป็นส่วนช่วยสร้างความตระหนักรู้ในสังคม เพราะผมเดินทางไปเวทีต่าง ๆ ทั่วโลก เช่น World Economic Forum และ One Young World มีโอกาสพบผู้นำจากหลายประเทศ
แต่สิ่งที่ผู้นำเหล่านั้นพูดเหมือนกัน คือ ปัญหาในสังคมทั้งหมดต้องแก้โดยเอกชน เพราะภาครัฐทางฝั่งการเมืองมีความต่อเนื่องน้อยกว่าเอกชน รัฐบาลมีหมดวาระ และเมื่อรัฐบาลชุดใหม่เข้ามา นโยบายต่าง ๆ ก็เปลี่ยนไป
ที่สำคัญ ภาคเอกชนมีบทบาทระหว่าง 2 โลก คือ การปฏิบัติตามกฎระเบียบ และการปฏิบัติตามที่ตลาดต้องการ ดังนั้นจะเห็นข้อมูลทั้ง 2 ด้าน จึงทำให้มีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหาในสังคม ทั้งนี้ บทบาทไม่ใช่เฉพาะการทำซีเอสอาร์ แต่ภาคเอกชนสามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง แก้ปัญหาระดับโลก ที่ไม่เคยเข้าร่วมมาก่อนได้ ดังเช่น 3 ด้านนี้
1.ภาวะโลกร้อน (global warming) ที่ทำให้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นทุกปี โดยมีการคาดการณ์ว่า ถ้าบวกเพิ่มอีก 10% สายพันธ์ุสัตว์โลกจะหายไป 16% ซึ่งรวมถึงมนุษย์ด้วย
2.ตั้งเป้าการบรรลุสถานะของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (net-zero carbon)
3.ขยะเหลือศูนย์ (zero waste) 4.ความเสมอภาค (human rights) โดยเฉพาะเรื่องการศึกษา เมื่อภาคธุรกิจเริ่มตั้งเป้าใน 4 ประเด็นข้างต้นก็จะเริ่มขยับและเดินหน้าก้าวถัดไปได้เอง
ในฐานะที่ “ศุภชัย” สวมหมวกซีอีโอของเครือซีพีด้วยจึงกล่าวว่า มีโครงการที่ ซี.พี.มุ่งขับเคลื่อนความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรมในพื้นที่ภาคเหนือ พร้อมจัดตั้งสำนักงานด้านความยั่งยืนและพัฒนาชุมชนเครือเจริญโภคภัณฑ์ จ.น่าน อาจพูดได้ว่าเราตามรอยของภารกิจของมูลนิธิปิดทองหลังพระฯ
“สิ่งที่เราทำคือพยายามไปตามชุมชนต่าง ๆ เพื่อดูว่าชาวบ้านสามารถเปลี่ยนวิถีชีวิตจากปลูกพืชเชิงเดี่ยวได้หรือไม่ เพราะเป็นพื้นที่ที่มีความท้าทายในเรื่องระบบชลประทาน และค่าขนส่งแพง แต่ชาวบ้านไม่มีทางเลือก นอกจากนั้นมีการพึ่งระบบกู้ยืม เพื่อนำเงินมาทำเกษตร และเงินส่วนหนึ่งมาใช้ดำรงชีวิตส่งลูกหลานเรียนหนังสือ ซึ่งไม่ใช่การทำการเกษตรตามโมเดลธุรกิจ หรือเกษตรอุตสาหกรรมที่จะยั่งยืน และเป็นวงจรที่เปลี่ยนได้ยาก”
“เนื่องจากพวกเขามีวิถีชีวิตอยู่บนเขา แต่มีกฎหมายออกมาทีหลังว่า พื้นที่บนเขาที่ชาวบ้านเคยใช้ทำเกษตรเป็นพื้นที่ป่า จึงทำให้ชาวบ้านหลายคนไม่มีพื้นที่ทำกิน ซี.พี.จึงพยายามดูว่ามีพืชอะไรที่เป็นมิตรต่อป่าและใช้พื้นที่น้อย เหมาะสมกับระบบชลประทานที่จังหวัดน่าน จึงได้คำตอบว่ากาแฟ เพราะปลูกกาแฟเพียง 1 ไร่ ให้ผลกำไรเท่ากับ 15 ไร่ของการปลูกข้าวโพด ทั้งยังใช้เป็นแนวกันไฟได้”
อีกอย่างที่เราพยายามผลักดันคือ เรื่องกฎระเบียบบ้านเมือง ด้านกฎหมายที่ดินทำกิน โดยการขอให้รัฐบาลให้ incentive (สิทธิพิเศษ) แก่ชาวบ้านที่ไม่ใช่ตัวเงิน เช่น ให้พวกเขาสามารถทำกิน และดูแลรักษาป่าอย่างถูกกฎหมาย ซึ่งจะจูงใจให้คนที่นั่นเริ่มอยู่ในกฎระเบียบ เป็นการช่วยพวกเขาค่อย ๆ ปรับตัว รวมถึงมีหลักประกัน (margin) การซื้อขั้นต่ำ และทำความร่วมมือแบบ PPPP (public-private-people partnership หรือ 4P)
นอกจากนั้น “ศุภชัย” ยังกล่าวว่า การจะจูงใจให้ธุรกิจสตาร์ตอัพใหม่ ๆ มาช่วยประเทศปรับตัวสู่ความยั่งยืน องค์กรขนาดใหญ่ต้องมี incentive บางอย่างที่ไม่ใช่จำนวนเงินให้กับพวกเขา เช่น การให้รางวัลและการชื่นชมจากตลาดหลักทรัพย์ฯ
ในโลก 4.0 ต้องทำงานร่วมกันในเรื่อง neutral carbon footprint (กิจกรรมชดเชยคาร์บอน) มีการแลกเปลี่ยนซื้อขายคาร์บอนเครดิตมาชดเชยกับปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากกิจกรรมต่าง ๆ ของแต่ละองค์กร หรือในอนาคตอาจมีการซื้อขายเครดิตของเสีย (waste) ในตลาด circular economy จนทำให้เกิดดีมานด์ใหม่ และอาจเป็นการซื้อขายในตลาด bitcoin ในสกุลเงิน cryptocurrency
แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน
“พิมพรรณ” กล่าวว่า “โลกมีปัญหา และการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย ทั้งรวดเร็ว รุนแรง และถี่ขึ้นมาก ดังนั้นการสร้างความยั่งยืนในภาคธุรกิจจึงเปรียบเสมือนเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยง และการสร้างความทนทานต่อการเปลี่ยนแปลง ซึ่งดิฉันเพิ่งเข้ามาทำงานในตลาดทุนไทย หรือตลาดหลักทรัพย์ฯเพียง 1 ปี จากเดิมทำงานอยู่ในงานสายพัฒนาเพื่อสังคมมาตลอด จึงทำให้เห็นงานพัฒนาทั่วประเทศ”
“จนได้พบว่า scope กับ scale ของปัญหาแต่ละเรื่องไปเร็วมากจนแก้ไม่ทัน ดังนั้น ดิฉันจึงเชื่อมั่นว่าภาคธุรกิจจะเข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงได้มาก เพราะตอนนี้มองเห็นการขับเคลื่อนของตลาดทุนอย่างเป็นองคาพยพ เพื่อจะทำให้ประเทศเกิดความเปลี่ยนแปลง
เครือข่ายเพื่อความยั่งยืนฯ หรือ TRBN (Thailand Responsible Business Network) จึงเป็นเครือข่ายที่มีองค์กรทั้งบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ฯที่เห็นความสำคัญ และเห็นความจำเป็นเร่งด่วนในการนำเอาเรื่องความยั่งยืนเข้าไปอยู่ในภาคธุรกิจไทย โดยจะมีบทบาทการขับเคลื่อน 3 ประเด็นหลัก คือ
หนึ่ง low carbon business หรือ การส่งเสริมธุรกิจที่ปล่อยคาร์บอนต่ำซึ่งหัวใจสำคัญที่เราขับเคลื่อนมาตลอด 1 ปี คือ เรื่องเศรษฐกิจหมุนเวียน
สอง inclusive growth หรือการเติบโตอย่างมีส่วนร่วม การที่บริษัทในตลาดทุนไทยจะเติบโตได้ business model ของแต่ละองค์กรควรจะนำพา stakeholder และห่วงโซ่อุปทานขององค์กรเติบโตไปด้วย
สาม corporate governance หรือบรรษัทภิบาล การกำกับดูแลกิจการให้มีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม บทบาทของ TRBN จะเดินไปพร้อมกับผู้เล่นอื่น ๆ ในตลาดทุน และมีกรอบสากล หรือ standard setting เป็นมาตรฐานขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน เช่น DJSI (Dow Jones Sustainability Index) และ UN Global Compact รวมไปถึงคำที่เกิดขึ้นใหม่อย่าง sustainable accounting และ climate disclosure standards board ที่เกี่ยวกับมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ
ซึ่งจะเป็นไกด์ไลน์แก่บริษัทต่าง ๆ ช่วยในการขับเคลื่อนว่าต้องทำอย่างไรบ้าง พร้อมกับเปรียบเทียบกับการดำเนินงานตนเอง และโปรโมตกิจกรรมที่ทำ เพื่อให้เกิดผลตอบรับ ซึ่ง TRBN ทำงานอยู่ในขั้นนี้ เพื่อสนับสนุนแต่ละบริษัทให้ทำจริง รายงานได้ เปิดเผยข้อมูลได้ จากนั้นก็ถอดบทเรียนให้เป็น guide principle หรือแนวทางปฏิบัติที่ดีจนทำให้องค์กรนั้น ๆ กลายเป็น common practice ของภาคธุรกิจ
“ตลอดการดำเนินงาน 1 ปีผ่านมา มีการนำเรื่องเศรษฐกิจหมุนเวียน (circular economy) มาเป็นหัวข้อให้แก่บริษัทต่าง ๆ นำไปปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการจัดการขยะ ของเสีย หรือของที่ไม่ใช้แล้ว เพราะเป็นโจทย์ที่ง่าย และถ้ามองเรื่องของทรัพยากรธรรมชาติ เราดึงมาใช้จนเหลือน้อย แล้วก็ทิ้งจนกลายเป็นภาระ ดังนั้น คอนเซ็ปต์ของเศรษฐกิจหมุนเวียนคือจะทำอย่างไรให้ทรัพยากร หรือวัตถุดิบที่เราผลิตมาเป็นของใช้ ถูกใช้อย่างคุ้มค่าที่สุด หรือนำกลับมาใช้ซ้ำใหม่ได้สร้างมูลค่าใหม่”
“ซึ่งมี 2 ลักษณะที่บริษัทต่าง ๆ สามารถทำได้ คือ close loop ภายในการดำเนินธุรกิจนั้น ๆ ต้องทำให้เกิดขยะน้อยสุด และ open loop หมายถึง waste จากธุรกิจหนึ่ง อาจกลายเป็นต้นทุนของธุรกิจหนึ่ง หรือธุรกิจกับผู้บริโภคเกิดการไหลเวียนของวัสดุขยะ เพื่อนำกลับมาสร้างมูลค่าใหม่ได้”
“พิมพรรณ” กล่าวต่อว่า ยกตัวอย่างบริษัทขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือจีซี กำลังลงทุนสร้างโรงงานพลาสติกรีไซคลิ่งขนาดใหญ่มาก มี capacity รองรับขยะพลาสติกเข้าระบบ 6 หมื่นตันต่อปี
ซึ่งการจะทำแบบนี้ได้ในประเทศที่ยังไม่มีความพร้อมเรื่องการแยกขยะต้นทางที่บ้าน หมายความว่าจีซีต้องจัดการกับ value chain ตั้งแต่การคัดแยก ลำเลียงเข้าระบบ จนกระทั่งเมื่อได้เม็ดพลาสติกจากรีไซเคิลแล้ว จะต้องคิดว่านำไปสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างไร และถ้าหากทำได้จริงแปลว่าเราจะสามารถนำพลาสติกไม่ใช้แล้วเข้ามาในระบบนี้ได้ 6 หมื่นตันต่อปี อันจะเป็นประโยชน์อย่างมาก เพราะจะทำให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้เกิดสตาร์ตอัพ เอสเอ็มอีตามมา
นอกเหนือจากนี้ ยังเป็นการสร้างคุณค่าให้สังคม คือ ลดภาระของบ่อฝังกลบ ทำให้ขยะพลาสติกไม่หลุดลงไปในทะเล หรือแหล่งน้ำต่าง ๆ ส่วนจีซีก็ได้การประกอบกิจการที่ดี ผลกำไรดี มูลค่าแบรนด์สูงขึ้น หรือแม้แต่มูลค่าหุ้นในตลาดก็จะสูงตาม
“การขับเคลื่อนที่ดิฉันมองเห็นวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุน ผู้บริโภค ภาครัฐ หรือเอ็นจีโอต่าง ๆ ต่างตั้งเป้าหมายหลากหลายในเรื่องความยั่งยืน เช่น ภายใน 2030 ต้องเรียกคืนพลาสติกให้ได้จำนวนมาก หรือบรรจุภัณฑ์ที่ส่งออกไปต้องกลับเข้ามาสู่ระบบได้หมด หรือต้องทำให้บรรจุภัณฑ์ทั้งหมดรีไซเคิลได้ 100% หรือบางบริษัทตั้งเป้าเป็น carbon neutral”
“สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า บริษัทไทยมีความพร้อมมาก ฉะนั้น สิ่งสำคัญคือเราต้อง engage ให้ผู้บริโภค ช่วยกันแยกขยะพลาสติกอื่น ๆ ตั้งแต่ต้นทาง และภาครัฐก็ต้องมีบทบาทเพื่อให้เกิดการเชื่อมต่อกันด้วย”
ถึงจะทำให้เกิดความยั่งยืนในอนาคต