33 ปี มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์

ประกอบบทความ

นับจากปี 2530 ซึ่งเป็นปีมหามงคลเนื่องในโอกาส พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ คณะผู้บริหารและเหล่าพนักงานเครือเจริญโภคภัณฑ์จึงร่วมเฉลิมพระเกียรติน้อมเกล้าฯถวายทั้งกำลังกาย กำลังทรัพย์ กำลังเวลา กำลังสติปัญญา

เพื่อดำเนินโครงการและกิจกรรมด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตเยาวชนและเกษตรกรในชนบทห่างไกล “ตามรอยใต้เบื้องพระยุคลบาท” โดยตั้งกองทุนเครือเจริญโภคภัณฑ์ ในเวลาต่อมาจดทะเบียนเป็นองค์การสถานสาธารณกุศลในชื่อ “มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท”

“จอมกิตติ ศิริกุล” รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐและกิจการสัมพันธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และผู้ช่วยบริหาร สำนักประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ซึ่งร่วมก่อตั้งโดยผู้บริหารและพนักงานเครือเจริญโภคภัณฑ์ ดำเนินงานครบรอบปีที่ 33

โดยยึดหลักปรัชญา 3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืน ที่ปฏิบัติกันมาโดยตลอด คือ คำนึงถึงประโยชน์ต่อประเทศชาติ ประโยชน์ต่อประชาชน ก่อนประโยชน์องค์กร และยังได้บูรณาการการดำเนินงานให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals : SDGs)

มูลนิธิสานต่องานที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชนและเกษตรกรที่อยู่ในชนบท โดยได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้ใช้พื้นที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อ.ชะอำจ.เพชรบุรี จัดตั้ง “ศูนย์ฝึกอาชีพเยาวชนเกษตร” เพื่อให้เยาวชนในชนบทที่อยู่นอกการศึกษาภาคบังคับ มีโอกาสฝึกอาชีพ ฝึกระเบียบวินัย เรียนรู้ทักษะชีวิต และเติบโตเป็นคนดี พลเมืองดี และมีอาชีพดี

สำหรับงานด้านเด็กและเยาวชน ดำเนิน “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” สนับสนุนการเลี้ยงไก่ไข่ เพื่อนำไข่ไก่มาประกอบเป็นอาหารกลางวันของนักเรียนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน และขยายผลไปตามโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และสังกัดอื่นทั่วประเทศ โดยมีบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ, หอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพ และบริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) ร่วมสนับสนุนงบประมาณ

ปัจจุบันมีโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการเกือบ 900 โรงเรียนทั่วประเทศ กว่า 1,900 ชุมชน เกิดการมีส่วนร่วมแก้ปัญหาภาวะทุพโภชนาการของเยาวชนจนถึงปัจจุบันรวมกว่า 180,000 คน

นอกจากนี้ ยังมีโครงการสนับสนุนทุนการศึกษานักเรียนในพระราชานุเคราะห์ ดูแลนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนที่ร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน ซึ่งมีความยากลำบาก และมีโอกาสน้อยในการเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ห่างไกล

มูลนิธิจึงร่วมสนับสนุนโครงการทุนการศึกษานักเรียนในพระราชานุเคราะห์ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี รับเด็กที่มีความประพฤติดี ผลการเรียนดี มีความเป็นผู้นำ จากโรงเรียน ตชด. พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มาพักค้างและเรียนต่อในระดับชั้นมัธยมศึกษาในโรงเรียนราชประชานุเคราะห์จังหวัดเลย

และเด็กจากโรงเรียน ตชด. พื้นที่ภาคกลางและตะวันออก มาพักค้าง ณ ศูนย์ฝึกอาชีพเยาวชนเกษตร เพื่อเรียนต่อในระดับมัธยมศึกษา ณ โรงเรียนวังไกลกังวล ในพระบรมราชูปถัมภ์ ควบคู่กับการเรียนรู้ด้านอาชีพเกษตร

ที่ผ่านมามูลนิธิรับเด็กเข้าโครงการรวม 203 คน จบการศึกษาแล้ว 97 คน อยู่ระหว่างการศึกษา 81 คน และกลับไปศึกษาหรือประกอบอาชีพใกล้บ้าน 25 คน และพบว่าร้อยละ 24 ของนักเรียนทุน ได้กลับไปสร้างงาน สร้างอาชีพในครัวเรือน และร้อยละ 54 สามารถสร้างรายได้ให้ตนเอง ขยายผลในการสร้างวิสาหกิจชุมชน

โครงการครอบครัวอุปการะในชุมชนวัฒนธรรม เป็นโครงการดูแลเด็กกำพร้ามีโอกาสได้อยู่กับครอบครัวทดแทน ซึ่งจะช่วยให้เด็ก ๆ มีโอกาสได้รับความรัก ความอบอุ่น ได้รับการดูแลปลูกฝังด้านคุณธรรม ประกอบกับบริบทสังคมชุมชนในภาคอีสาน มีวัฒนธรรมการเลี้ยงดูปลูกฝังให้มีความกตัญญู เอื้อต่อการเป็นครอบครัวทดแทน

มูลนิธิจึงสรรหาครอบครัวเกษตรกรที่มีจิตสาธารณะในอำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ เข้าร่วมเป็นครอบครัวอุปการะ รับเด็กจากสถานสงเคราะห์มาเป็นสมาชิกของครอบครัว โดยที่ผ่านมามีเด็กกำพร้าที่มูลนิธิรับเข้าโครงการแล้วกว่า 300 คน อยู่ในความดูแลของมูลนิธิ 67 คน ทยอยส่งมอบสู่ครอบครัวถาวร 262 คน และกลับคืนสถานสงเคราะห์ 13 คน และจบการศึกษาระดับปริญญาตรี 4 คน

ในส่วนโครงการแก้ปัญหาด้านความยากจน มูลนิธิจัดทำศูนย์สาธิตธุรกิจเกษตรให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของเกษตรกร โดยรอบศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จากนั้นได้ขยายไปยังโครงการตามพระราชประสงค์หมู่บ้านสหกรณ์ 7 แห่ง โครงการห้วยองคตอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.กาญจนบุรี โครงการเกษตรผสมผสานตามแนวพระราชดำริที่ อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ และโครงการพัฒนาอาชีพตำบลปากรอ ตามดำริของ “พลเอกเปรม ติณสูลานนท์” จ.สงขลา มีจำนวนเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการกว่า 5,000 คน สร้างมูลค่าเศรษฐกิจจากโครงการส่งเสริมอาชีพและโครงการด้านสังคมเกือบ 1,000 ล้านบาท

เกษตรกรสามารถรวมกลุ่มเพื่อจัดการอาชีพ แก้ปัญหาส่วนตัวและส่วนรวมกว่า 200 ชุมชน อันเป็นแบบอย่างในการถ่ายทอดความรู้และขยายผลต่อเนื่อง เกิดเป็นกลุ่มอาชีพใหม่ 3 กลุ่ม และกลุ่มออมทรัพย์เกษตรกร 108 ราย มีเงินออมกว่า 1 ล้านบาท

ด้วยความมุ่งมั่นในการดำเนินงานของ “มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท” พร้อมเป็นพลังของสังคม ด้วยการส่งมอบโอกาสที่ดีสู่เด็กและเยาวชน เกษตรกรในชนบท รวมถึงการดูแลผู้สูงวัยในพื้นที่ห่างไกล เพื่อร่วมขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศไทยก้าวไปข้างหน้าด้วยความแข็งแกร่ง