“หมอเจี๊ยบ” เล่าประสบการณ์แพทย์ด่านหน้า ต้องเจออะไร กับโควิดครั้งนี้

หมอเจี๊ยบ ลลนา เล่าประสบการณ์แพทย์ด่านหน้า ต้องเจออะไร กับโควิดครั้งนี้ ขอวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ-เร็วที่สุดให้ประชาชน

วันที่ 8 กรกฎาคม 2564 แพทย์หญิงลลนา ก้องธรนินทร์ หรือหมอเจี๊ยบ ได้ออกมาเขียนเล่าถึงประสบการณ์ของหมอด่านหน้าในห้องฉุกเฉินผ่านอินสตาแกรมส่วนตัวว่า “ขอมาเล่าประสบการณ์ด่านหน้าในฐานะของหมอในห้องฉุกเฉินให้ได้ฟัง เจี๊ยบคลุกคลีกับเคสผู้ป่วยโควิดมาตลอด ซึ่งสถานการณ์ในตอนนี้ ต้องยอมรับว่ามันแย่และหนักมากกว่าการระบาดครั้งก่อน ๆ เป็นพันเท่า”

“อย่างที่ทราบกันว่า คนไข้โควิดที่อาการหนักแต่ไม่มีเตียง ต้องนอนรอเตียงกองกันอยู่ล้นหน้าห้องฉุกเฉิน แต่อย่าลืมว่า ที่โรงพยาบาลไม่ได้มีเฉพาะเคสโควิดอย่างเดียว ยังมีทั้งอุบัติเหตุและคนเจ็บป่วยหนักที่อันตรายถึงชีวิตที่ต้องเข้ารับการรักษา”

“ไม่กี่วันมานี้มีคนไข้อาเจียนพุ่งเป็นเลือด หัวใจหยุดเต้น การที่หมอจะกระโดดเข้าไปช่วย ปั๊มหัวใจทันทีเหมือนเมื่อก่อนก็ไม่สามารถทำได้ ต้องไปใส่ชุด PPE ก่อน และยังมีรายละเอียดในขั้นตอนการรักษาอื่น ๆ อีกหลายอย่างมาก คนทำงานก็กดดันด้วยเวลาที่ต้องเร่งรีบ และด้วยปริมาณเคส บางครั้งผู้ป่วยและญาติไม่เข้าใจว่ามัวทำอะไรอยู่ ทำไมไม่รีบรักษา แต่ขณะนั้นพวกเราทุกคนกำลังเตรียมความพร้อมป้องกัน เพื่อเข้าไปช่วยชีวิตผู้ป่วยอย่างปลอดภัย ล่าสุดเพื่อนร่วมงานเจี๊ยบ น้องพยาบาลเป็นลมในชุด PPE ระหว่างกำลังทำงาน”

“ห้องแยกโรคป้องกันการแพร่เชื้อ (ห้องความดันลบ) ที่ใช้สำหรับเคสผู้ป่วยโควิดมีข้อจำกัด ไม่พอกับจำนวนผู้ป่วย จนคนไข้โควิดต้องออกมานอนรักษาอยู่ด้านนอก ทำได้เพียงเว้นระยะห่าง (ที่ไม่ห่าง) ระหว่างเตียง ผู้ป่วยใกล้เคียงรวมถึงเจ้าหน้าที่ก็ต้องเสี่ยงติดเชื้อไปตามกัน เพราะห้องแยกโรคเต็มหมด และเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากค่ะ เจี๊ยบเจอเคสที่คนไข้อายุมากกว่าเจี๊ยบแค่ปีเดียว ไม่มีโรคประจำตัวอื่นใดๆ แต่ก็เป็นหนักจนเสียชีวิตลำพังบนเตียง ไม่มีโอกาสได้ร่ำลาใคร ญาติพี่น้องไม่สามารถเข้ามาพบได้ ลองนึกดูว่าถ้าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับครอบครัวหรือคนใกล้ตัวของตัวเองจะทรมานใจขนาดไหน”

เคสโควิดที่ป่วยหนักจนจำเป็นต้องใส่ท่อช่วยหายใจก็เกิดขึ้นทุกวัน ตั้งแต่ทำงานใส่ท่อช่วยหายใจให้คนไข้โควิดมา ยังไม่มีเคสไหนเลยที่รอด ทุกครั้งที่จะต้องใส่ท่อช่วยหายใจให้ผู้ป่วย เจี๊ยบรู้สึกเศร้ามาก เพราะตัวหมอเองยังไม่รู้เลยว่า คนไข้จะมีโอกาสได้กลับบ้านไหม ที่ทำได้ดีที่สุดในตอนนั้นคือจับมือและบอกคนไข้ว่า “เดี๋ยวหมอจะใส่ท่อช่วยหายใจให้ ตอนตื่นมาจะมีท่ออยู่ในปากนะ”

แพทย์หญิงลลนาเล่าประสบการณ์ให้ฟังว่า มีเคสนึง คนไข้เป็นคนขับรถแท็กซี่ คุณลุงเล่าว่า ผู้โดยสารให้ไปส่งที่ รพ. ระหว่างทางก็ถามผู้โดยสารว่า ให้ไปส่งที่โรงพยาบาลเป็นอะไร เป็นโควิดหรือเปล่า ? ผู้โดยสารเลี่ยงไม่ตอบ คนขับก็ไม่กล้าให้ลงจากรถ เห็นผู้โดยสารขึ้นมานั่งแล้วจึงไปส่งให้ถึงที่หมาย หลังซักประวัติเสร็จไม่นานคุณลุงก็อาการหนักจนต้องใส่ท่อช่วยหายใจ เป็นอีกเคสที่จากไป เจี๊ยบไหว้พระขออธิษฐานให้คุณลุงสงบสุขอยู่บนสวรรค์นะคะ

“สถานการณ์ในตอนนี้หนักมาก บางเคสที่เจออายุไม่เยอะ ไม่มีโรคประจำตัวมาก่อนก็อาจมีโอกาสอาการหนักได้ ความเสี่ยงมีอยู่ทุกที่ เจี๊ยบขอเป็นหนึ่งเสียงในฐานะแพทย์และประชาชนคนหนึ่ง ขอวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและทั่วถึงให้ประชาชนทุกคนอย่างรวดเร็วที่สุดเถอะนะคะ เพราะแต่ละวินาทีที่ช้าไปคือชีวิต หมอทุกคนอยากเห็นคนไข้ได้กลับบ้านไปหาคนที่เขารัก”

 

ดูโพสต์นี้บน Instagram

 

โพสต์ที่แชร์โดย Lalana Kongtoranin (@jeab_lalana)