JNTO ชู “สปอร์ตทัวริซึ่ม” ปั้นรายได้รับ “โอลิมปิก 2020”

นโยบายยกเว้นวีซ่าให้กับคนไทยเป็นระยะเวลา 15 วันของรัฐบาลญี่ปุ่น ตั้งแต่กลางปี 2556 ที่ผ่านมา รวมระยะเวลานานกว่า 5 ปี ยังคงออกดอกผลอย่างต่อเนื่อง และไม่มีวี่แววจะเสื่อมมนต์โดยง่าย เห็นได้จากกระแสของนักท่องเที่ยวไทยยังคงตีตั๋วเข้าญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง

“ประชาชาติธุรกิจ” มีโอกาสร่วมสัมภาษณ์ “เอโกะ โอะนุมะ” ผู้อำนวยการบริหาร องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (JNTO) สำนักงานกรุงเทพฯ เกี่ยวกับภาพรวมคนไทยเที่ยวญี่ปุ่นในปี 2561 รวมถึงกลยุทธ์ใหม่เพื่อกำหนดทิศทางการทำตลาดรับเวิลด์อีเวนต์อย่างมหกรรมกีฬา “โอลิมปิก 2020” ไว้ดังนี้

ไทยเที่ยวญี่ปุ่นทะลุ 1.2 ล้านคน

“เอโกะ” เริ่มต้นเล่าว่า “ญี่ปุ่น” ยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวชาวไทยนิยมเดินทางไปเป็นจำนวนมาก สะท้อนได้จากสถิตินักท่องเที่ยวไทยไปญี่ปุ่นเมื่อปี 2560 ที่มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 987,211 คน เติบโต 9.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีค่าใช้จ่ายต่อทริปอยู่ที่ 126,569 เยนต่อคน หรือราว 38,000 บาท สร้างรายได้รวมประมาณ 3.76 หมื่นล้านบาท

โดยนักท่องเที่ยวไทยส่วนใหญ่ยังนิยมท่องเที่ยวและพำนักในภูมิภาคคันโตสูงสุดด้วยจำนวน 1.12 ล้านรูมไนน์ รองลงมาคือภูมิภาคคันไซ 5.29 แสนรูมไนน์, ภูมิภาคฮอกไกโด 3.79 แสนรูมไนน์ และภูมิภาคชูบุ 1.98 แสนรูมไนน์ 

เมื่อดูตัวเลขในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ พบว่ามีนักท่องเที่ยวไทยไปเยือนญี่ปุ่นแล้วกว่า 606,700 คน เติบโตถึง 14.3% จึงคาดว่าแนวโน้มตลอดปีนี้จะมีมากถึง 1.12-1.2 ล้านคน สูงกว่าเป้าหมายของ JNTO ซึ่งวางไว้ว่าน่าทะลุ 1 ล้านคนเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และทำให้ไทยเป็นชาติแรกของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ส่งออกนักท่องเที่ยวไปญี่ปุ่นสูงกว่า 1 ล้านคน เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ อย่างสิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ซึ่งไปเที่ยวญี่ปุ่นเฉลี่ยประเทศละ 3-4 แสนคนต่อปี นอกจากนี้ไทยครองอันดับที่ 6 ของชาติที่มีนักท่องเที่ยวไปญี่ปุ่นมากที่สุด รองจากจีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฮ่องกง และสหรัฐอเมริกา

ชูสปอร์ตทัวริซึ่มโอลิมปิก 2020

“เอโกะ” บอกด้วยว่า ในช่วง 2 ปีก่อนถึงมหกรรมกีฬาระดับโลกอย่างโอลิมปิก 2020 ที่กรุงโตเกียว ทางสำนักงานใหญ่ของ JNTO ได้มีนโยบายจัดตั้งแผนกใหม่เพื่อมาขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชิงกีฬา (สปอร์ตทัวริซึ่ม) โดยเฉพาะ โดยกำหนดทิศทางในการทำตลาดดึงคนทั่วโลกมาเที่ยวญี่ปุ่นช่วงโอลิมปิก ซึ่งวางเป้าหมายมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเข้ามาในปีนั้นกว่า 40 ล้านคน หลังเห็นศักยภาพของกลุ่มท่องเที่ยว ความสนใจเฉพาะด้านนี้ซึ่งกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ

“และไม่เฉพาะแค่โอลิมปิก 2020 เท่านั้น ยังมองไปถึงการจัดแข่งขันกีฬาอื่น ๆ ทั้งระดับโลก อย่างในปี 2019 ญี่ปุ่นจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรักบี้โลก รวมถึงการจัดแข่งขันภายในประเทศ โดยใช้นักกีฬาที่มีชื่อเสียงเป็นแม่เหล็กดึงดูด”

สำหรับในส่วนของ “สปอร์ตทัวริซึ่ม” นั้น “เอโกะ” อธิบายว่า ได้แบ่งออกเป็น 2 ตลาดด้วยกัน คือ 1.ตลาดเดินทางเพื่อชมการแข่งขันกีฬา เนื่องจากขณะนี้นักฟุตบอลทีมชาติญี่ปุ่นได้ประชาสัมพันธ์ให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาชมลีกฟุตบอลในญี่ปุ่น ทำให้มีบริษัทจำนวนมากเปิดตัวเพื่อทำธุรกิจพาคนมาเที่ยวและชมกีฬาไปด้วย ประกอบกับ “อันเดรส อิเนียสตา” นักฟุตบอลชื่อดังชาวสเปนซึ่งย้ายจากทีมบาร์เซโลน่ามาสังกัดวิสเซล โกเบ ในศึกเจลีก โดย JNTO ได้แต่งตั้งให้อินเนียสตาเป็น “ทัวริซึ่มแอมบาสซาเดอร์” เพื่อดึงนักท่องเที่ยวยุโรปเที่ยวญี่ปุ่นด้วย

ขณะที่นักฟุตบอลไทยที่ย้ายมาสังกัดทีมในเจลีกญี่ปุ่นก็น่าจะมีส่วนช่วยให้แฟนกีฬาชาวไทยสนใจมาเที่ยวญี่ปุ่นด้วย เช่นเดียวกับนักเบสบอลชื่อดังหลายคนของญี่ปุ่นที่ได้ไปเล่นในลีกของสหรัฐ ก็ได้เชิญชวนให้แฟนกีฬามาเที่ยวญี่ปุ่นกันมากขึ้นด้วย

และ 2.ตลาดเดินทางเพื่อเล่นกีฬา โดย JNTO พบว่าขณะนี้นักท่องเที่ยวชาวไทยสนใจไปเล่นสกีอย่างมาก จึงได้โปรโมตดึงให้ชาวไทยไปเล่นสกีและสัมผัสหิมะในช่วงฤดูหนาวมากขึ้น

ดึง Airbnb รับดีมานด์ทั่วโลก

“เอโกะ” ยังให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมเกี่ยวกับกรณี “แอร์บีแอนด์บี” (Airbnb) หลังจากญี่ปุ่นเป็นชาติแรกในเอเชียที่ได้ดำเนินการออกกฎหมายใหม่ให้การปล่อยเช่าอสังหาริมทรัพย์ส่วนบุคคลระยะสั้นเป็นเรื่องถูกกฎหมาย และมีผลบังคับใช้ไปแล้วเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาว่า จากเดิมที่แอร์บีแอนด์บีเคยอยู่ใน “เกรย์โซน” มองว่าเมื่อมีกฎหมายใหม่มารองรับจะมีส่วนช่วยเพิ่มความต้องการขายห้องพักในช่วงโอลิมปิก 2020 รองรับดีมานด์นักท่องเที่ยวทั่วโลกที่จะเดินทางเข้ามาได้ดีขึ้น ควบคู่ไปกับการลงทุนเปิดโรงแรมใหม่จำนวนมากของผู้ประกอบการท่องเที่ยว เนื่องจากปัจจุบันญี่ปุ่นมีแนวโน้มประชากรลดลง ทำให้มีห้องพักว่างมากขึ้น ชาวญี่ปุ่นจึงสนใจนำห้องพักว่างมาปล่อยให้เช่าระยะสั้นเพื่อสร้างรายได้

พร้อมทั้งย้ำว่า จากการประเมินราคาโรงแรมและที่พักในเมืองใหญ่ช่วงโอลิมปิก 2020 เบื้องต้นว่า คาดว่ามีแนวโน้มแพงขึ้นแน่นอน อย่างไรก็ตาม นักท่องเที่ยวสามารถเลือกเดินทางไปเมืองรองซึ่งราคาโรงแรมอาจไม่สูงเท่าเมืองใหญ่ได้ด้วย