วงจรธุรกิจ “ทัวร์จีน” ป่วน! “ไวรัสอู่ฮั่น” ทุบตายสนิททุกเซ็กเตอร์

เป็นที่ยอมรับว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า จากอู่ฮั่น ประเทศจีน ครั้งนี้ถือว่ารุนแรง และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยมหาศาล โดยเฉพาะภาคธุรกิจท่องเที่ยว ทั้งระบบ ทั้งกลุ่มธุรกิจทัวร์อินบาวนด์ (ขาเข้า), ทัวร์เอาต์บาวนด์ และท่องเที่ยวภายในประเทศ ที่มีมูลค่ารวมกว่า 3 ล้านล้านบาท

จากรายงานของกองเศรษฐกิจการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า ในปี 2562 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีรายได้จากตลาดนักท่องเที่ยวจีนมูลค่ารวมถึง 5.5 แสนล้านบาท จากจำนวนนักท่องเที่ยว 10.98 ล้านคน

รุนแรงสุดในประวัติศาสตร์

ผู้คร่ำหวอดในวงการธุรกิจทัวร์จีนรายหนึ่งให้ข้อมูลกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า หรือไวรัสอู่ฮั่น จากจีนรอบนี้ถือเป็นวิกฤตด้านการท่องเที่ยวครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ และส่งผลกระทบกับระบบเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างแท้จริง เนื่องจากทำให้การเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลกหยุดชะงักทันที เช่นเดียวกับประเทศไทยที่ต้องได้รับผลกระทบอย่างหนักทันทีเช่นกัน

เนื่องจากปัจจุบันภาคธุรกิจท่องเที่ยวถือเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ มีรายได้คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 17-18% ของ GDP ประเทศ ด้วยมูลค่ารวมราว 3 ล้านล้านบาท ไม่พียงเท่านี้ ตัวเลขรายได้จากการท่องเที่ยวดังกล่าวนี้ ตลาดจีนยังเป็นตลาดหลัก มีสัดส่วนนักท่องเที่ยวถึงราว 30% ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด พร้อมทั้งระบุด้วยว่า บริบทของผลกระทบเชิงเศรษฐกิจของไวรัส โคโรน่ารอบนี้หนักกว่าผลกระทบจากวิกฤติโรคซาร์สเมื่อปี 2546 อย่างมาก เนื่องจากในช่วงปี 2546 นั้น ภาคการท่องเที่ยวของไทยมีรายได้รวม 3.09 แสนล้านบาท (5.2% ของ GDP) จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 10 ล้านคน ในจำนวนนี้คิดเป็นนักท่องเที่ยวจีนราว 6.7% หรือประมาณ 6.7 แสนคนเท่านั้น

สำหรับโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันพึ่งพาภาคการท่องเที่ยวอยู่เกือบ 20% จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 40 ล้านคน โดยนักท่องเที่ยวจีนมีจำนวนถึง 10.98 ล้านคน ใกล้เคียงกับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปีของปี 2546สูญรายได้ตลาดจีนกว่าแสนล้านสอดรับกับแหล่งข่าวจากสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยรายหนึ่งที่วิเคราะห์ว่า ภาพรวมของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยในเวลานี้อยู่ในภาวะน็อกทั้งระบบ และทั้งประเทศอย่างแท้จริง

โดยประเมินตัวเลขคร่าว ๆ ของนักท่องเที่ยวจีนเข้าไทย (เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับวงการทัวร์) พบว่า เฉลี่ยแล้วประเทศไทยจะมีกรุ๊ปทัวร์เข้ามาเฉลี่ยที่ราว 1.2 หมื่นกรุ๊ปต่อเดือน ประเมินรายได้จากนักท่องเที่ยวจีนตลาดเดียวคร่าว ๆ เดือนละไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นล้านบาท (ไม่รวม FIT) และจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ผลกระทบจากกรณีโรคระบาด ไม่ว่าจะเป็นโรคซาร์ส หรือเมอร์ส จะใช้เวลาเคลียร์ถึง 6 เดือน กว่านักท่องเที่ยวจะกลับมา ทำให้คาดการณ์ว่าตัวเลขรายได้จากตลาดจีนตลาดเดียวรอบนี้ ไม่น่าต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท หรือหากรวมตลาดอื่น ๆ ด้วย คาดว่ามูลค่าความเสียหายไม่น่าจะต่ำกว่า 2 แสนล้านบาท

วงจรธุรกิจตายสนิททุกเซ็กเตอร์

แหล่งข่าวรายนี้ยังวิเคราะห์เพิ่มเติมด้วยว่า หากภาคการท่องเที่ยวแก้เกมด้วยการหันมาปลุกตลาดท่องเที่ยวภายในประเทศ หรือเที่ยวเมืองไทย ก็จะเป็นเพียงแต่ทำให้เกิดกระแสเงินหมุนเวียนเท่านั้น ไม่มีเงินรายได้จากต่างประเทศเข้ามาเติมในระบบปัญหาต่อไป คือ เมื่อรายได้จากต่างประเทศไม่เข้า รายได้ของซัพพลายเชนแต่ละเซ็กเตอร์ก็ไม่มีเข้ามาเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นรถทัวร์, โรงแรม, ร้านอาหาร, ร้านจิวเวลรี่, ร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึก ฯลฯ เนื่องจากระบบการทำธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับทัวร์ทั่วไปจะมีเครดิตเทอมเป็นรอบ ๆ 2-3 เดือน เมื่อธุรกิจในประเทศปิดสวิตช์ไปหมดแล้ว เงินเก่าที่ค้างอยู่มีโอกาสเป็นหนี้สูญไม่ต่ำกว่า 80-90% เมื่อผู้ประกอบการฝั่งไทยเก็บเงินไม่ได้ก็จะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ทั้งหมด ซึ่งคาดว่าผู้ประกอบการที่โฟกัสตลาดจีนเป็นหลัก ชอร์ตหนักแน่นอน และจะส่งผลทำให้มีคนตกงานอีกไม่ต่ำกว่า 1-2 หมื่นคนแน่นอน

“ตอนนี้ก็เริ่มเห็นปรากฏการณ์ของธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับทัวร์จีนถือโอกาส นี้ชัตดาวน์ตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว เช่น ร้านช็อปปิ้ง เอเย่นต์ทัวร์ ที่ทำทัวร์จีนอย่างเดียวประกาศปิดร้านแล้ว พนักงานยังไม่รู้ว่าจะได้รับเงินเดือนหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย”

รถทัวร์ 4-5 พันคันจอดนิ่ง ๆ

“ดร.วสุเชษฐ์ โสภณเสถียร” รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และนายกสมาคมผู้ประกอบการรถขนส่งทั่วไทย (สปข.) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่าในภาคธุรกิจขนส่งในขณะนี้พบว่ารถบัสที่ทำทัวร์จีน 4,000-5,000 คัน ตกงานแล้ว และจอดนิ่งสนิทอยู่เฉย ๆ ขณะเดียวกันก็ยังต้องลุ้นว่างานที่ทำไปแล้วล่วงหน้า 2-3 เดือน จะได้รับเงินหรือไม่ ซึ่งได้รับผลกระทบแน่นอน

“รถทัวร์ 4-5 พันคันที่หยุดวิ่งนั้น เราคำนวณคร่าว ๆ จากเดิมที่มีกรุ๊ปทัวร์ 12,000 กรุ๊ป ใช้น้ำมันกรุ๊ปหนึ่งประมาณ 8,000 บาท ฉะนั้นเฉพาะค่าน้ำมันอย่างเดียว เงินก็หายจากระบบไปกว่า 8 หมื่นล้านต่อเดือน”

ผู้ประกอบการทัวร์จีนเดี้ยง

“ดร.วสุเชษฐ์” ยังบอกด้วยว่า หากวิกฤตรอบนี้รัฐบาลจีนใช้เวลานานถึง 6 เดือนจริง จะเป็นอะไรที่น่าวิตกมาก เนื่องจากจะทำให้ระบบเศรษฐกิจของจีนเกิดความสูญเสียมหาศาลเช่นกัน ซึ่งแน่นอนหลังทุกอย่างจบ เชื่อว่าจีนจะใช้มาตรการกระตุ้นระบบเศรษฐกิจของตัวด้วยนโยบายฟื้นฟู สร้างชาติ ประหยัด ไม่เอาเงินออกนอกประเทศ เศรษฐกิจประเทศอื่น ๆ ที่พึ่งพารายได้จากนักท่องเที่ยวจีนก็คงต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัวเช่นกัน

ดังนั้น ผู้ประกอบการรายใดที่โฟกัสตลาดจีนเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ร้านอาหาร ร้านจิวเวลรี่ ร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึก ฯลฯ ตายสนิทแน่นอน เพราะหลักการทำธุรกิจของคนจีนจะมองเรื่องรายได้เป็นหลัก เมื่อไม่มีรายได้ก็ปิดกิจการเป็นเรื่องปกติ และไม่เพียงแต่ตลาดอินบาวนด์เท่านั้นที่จะได้รับผลกระทบ ตลาดเอาต์บาวนด์ก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน คนที่ซื้อแพ็กเกจทัวร์จีนแล้วยังเดินทางไม่ได้จะทำอย่างไร จะรับเงินได้หรือไม่ เพราะถ้าเป็นเอเย่นต์ใหญ่ที่มีทุนมาก ก็พอที่จะหมุนเงินมาคืนลูกค้าได้ แต่หากเป็นเอเย่นต์รายเล็ก ๆ ที่ต้องหมุนเงินตามระบบ จะมีเงินมาคืนหรือไม่ยังต้องลุ้นกันต่อไป

เรียกว่าท่ามกลางสถานการณ์ที่กำลังปั่นป่วนนี้ อาจมีผู้ประกอบการที่ถือโอกาส “ชัตดาวน์” ธุรกิจไปจากระบบเลยก็เป็นได้