“บล็อกเชน” เกมเศรษฐกิจโลกใหม่ แก้กฎหมายเฟ้นทางออก ดึงนักลงทุน

ณพงศ์ธวัช โพธิกิจ (คนที่ 2) ดร.นภนวลพรรณ ภวสันต์ (คนที่1) ศุภกฤษฎ์ บุญสาตร์ (คนที่3) พิริยะ สัมพันธารักษ์ (คนที่ 4)
ณพงศ์ธวัช โพธิกิจ (คนที่ 2) ดร.นภนวลพรรณ ภวสันต์ (คนที่1) ศุภกฤษฎ์ บุญสาตร์ (คนที่3) พิริยะ สัมพันธารักษ์ (คนที่ 4)

พัฒนาการเทคโนโลยีเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค และขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมต่าง ๆ อย่างมาก ไม่เว้นแม้แต่โลกการเงิน โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์จาก “บล็อกเชน” ซึ่งกำลังสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้อุตสาหกรรมการเงินทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย ทำให้หน่วยงานภาครัฐต้องลุกขึ้นมาวางแนวทางในการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเฉพาะคริปโทเคอร์เรนซีและโทเค็นดิจิทัลเพื่อสร้างจุดสมดุลในการอยู่ร่วมกันของทุกภาคส่วน

เมื่อเร็ว ๆ นี้คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ การเงิน และการคลัง วุฒิสภา จัดงานสัมมนาภายใต้หัวข้อ “เรื่องต้องรู้เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล” โดยเชิญตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและตัวแทนภาคเอกชนมาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกัน

ประโยชน์ของ “บล็อกเชน”

นายณพงศ์ธวัช โพธิกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายระบบการชำระเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ประโยชน์ของบล็อกเชนคือเทคโนโลยีการกระจายศูนย์ ทำให้คนไม่รู้จักกัน ไม่เชื่อใจกันสามารถเชื่อใจกันได้ ซึ่งที่ผ่านมาไทยนำบล็อกเชนมาใช้ประโยชน์ในหลายเรื่อง เช่น หนังสือค้ำประกัน จากเดิมที่ออกมาในรูปแบบกระดาษมาเป็นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นของจริงหรือไม่ได้ทันที

“ระบบบล็อกเชนทำให้เชื่อมโยงกันได้เร็วขึ้น ที่ผ่านมาธนาคารต่าง ๆ ก็นำมาใช้โอนเงินไปต่างประเทศ ทำให้การโอนเงินเร็วมากไม่ถึง 1 นาที ทั้งยังเห็นต้นทุนชัดเจนว่ามีเท่าไร ต้องจ่ายเท่าไร”

สินทรัพย์ดิจิทัลกับการเงินไทย

ในส่วนของการกำกับดูแลเรื่องการเงิน ความน่าเชื่อถือของ “เงิน” ถือเป็นสิ่งสำคัญและทุกประเทศต่างมีสกุลเงินของตัวเอง ดังนั้น การดำเนินนโยบายทางการเงินเพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจจึงต้องทำผ่าน “เงินบาท” ถ้าใช้เงินสกุลอื่นในประเทศ รวมถึงคริปโทเคอร์เรนซีในวงกว้าง

หมายถึงคนในประเทศจะถือสกุลเงินของประเทศตัวเองน้อยลง สิ่งที่จะเกิดขึ้น คือ หากเกิดภาวะเงินเฟ้อ สินค้าราคาเพิ่มสูงขึ้น ธนาคารกลางที่ดูนโยบายดอกเบี้ยจะขึ้นดอกเบี้ยเพื่อจูงใจให้คนฝากเงินมากขึ้น หรือคนที่จะกู้ก็อาจกู้น้อยลงเพื่อลดภาวะเงินเฟ้อได้ แต่ถ้ามีการใช้สกุลเงินอื่นมากขึ้นจะทำให้การขึ้นดอกเบี้ยไม่ได้ผล

จากความกังวลต่าง ๆ ทำให้ปัจจุบันประเทศไทยไม่อนุญาตให้มีการใช้สกุลเงินต่างประเทศซื้อสินค้าและบริการในประเทศไทย ซึ่งแนวคิดนี้จะนำไปใช้ในการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลด้วยเช่นกันในฐานะที่เป็นสกุลเงินสำหรับการชำระเงิน แต่ไม่ได้ห้ามเรื่องอื่น ๆ

“ปัจจุบันมีการทดลองนำบล็อกเชนมาใช้กับโครงการ ‘อินทนนท์’ ซึ่งเป็นการทดลองการใช้สกุลเงินดิจิทัล (Central Bank Digital Currency : CBDC) ในการโอนเงินระหว่างธนาคารด้วยกัน ปัจจุบันอยู่ระหว่างทดลองในต่างประเทศ ซึ่งยังมีประเด็นที่ต้องพิจารณาอีกหลายเรื่อง”

สแกน กม.สินทรัพย์ดิจิทัล

ด้าน ดร.นภนวลพรรณ ภวสันต์ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมเทคโนโลยีทางการเงิน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า กระแสคริปโทเริ่มมีในไทยตั้งแต่ปี 2559 มีทั้งนำคริปโทเคอร์เรนซีมาใช้ และการออกเหรียญเพื่อระดมทุนในโปรเจ็กต์ (ICO) เ

มื่อโปรเจ็กต์สร้างเสร็จก็นำรายได้ที่เกิดจากโปรเจ็กต์นั้นแบ่งกัน หรือให้ใช้ประโยชน์ในโปรเจ็กต์นั้น ๆ ทำให้มีโปรเจ็กต์เกิดขึ้นจำนวนมาก โดย ก.ล.ต.และ ธปท.เริ่มเห็นว่าโปรเจ็กต์เหล่านี้มีพัฒนาการจึงมีการออกพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลปี 2561 ถือเป็นประเทศแรก ๆ ของโลกที่ออกกฎหมายเกี่ยวกับกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล

สำหรับรายละเอียดในกฎหมายจะกำกับดูแล 3 ส่วน แบ่งตามลักษณะการใช้งาน และการให้สิทธิ ได้แก่

1.คริปโทเคอร์เรนซี ใช้เป็นสื่อกลางในการซื้อขายแลกเปลี่ยน เช่น บิตคอยน์ เป็นต้น

2.โทเค็นดิจิทัลเพื่อการลงทุน ออกมาเพื่อให้สิทธิผู้ถือในการลงทุนหรือกิจการใด ๆ คล้ายกับหลักทรัพย์ เช่น สิริฮับ เป็นต้น

และ 3.โทเค็นดิจิทัลเพื่อการใช้ประโยชน์ (utility token) เป็นหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ให้สิทธิการได้มาซึ่งสินค้าหรือบริการ หรือการนำเทคโนโลยีมาใช้แทนสิทธิที่เฉพาะเจาะจง มีการนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาพัฒนาใช้ในตลาดเงินและตลาดทุน

เร่งทบทวน กม.หาทางออก

ดร.นภนวลพรรณกล่าวต่อว่า กฎหมายเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลปี 2561 ออกด้วยความเร่งด่วน ขณะที่พัฒนาการต่าง ๆ เกิดขึ้นเร็วมากจึงต้องมีการทบทวน โดย ก.ล.ต.อยู่ระหว่างเสนอแก้ไข พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯให้ครอบคลุมสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีเรื่องของการระดมมากที่สุด โดยเสนอไปทางกระทรวงการคลังสอดคล้องกับแนวทางต่างประเทศ

สำหรับคริปโทเคอร์เรนซี ก.ล.ต.จะทำงานใกล้กับ ธปท.ว่าในส่วนของการนำมาชำระค่าสินค้าบริการ ในอนาคตถ้ามี stablecoin ต่าง ๆ ออกมาก็ต้องพิจารณว่าจะมีแนวทางการกำกับดูแลอย่างไร ส่วนยูทิลิตี้โทเค็นตอนนี้อยู่ระหว่างทบทวนการกำกับดูแลเพื่อบาลานซ์ระหว่างการสนับสนุนนวัตกรรมที่มีขอบเขตกฎหมายค่อนข้างกว้าง และคุ้มครองผู้ลงทุนเรื่องการเก็งกำไร ราคา และความเหมาะสม

ถอดบทเรียนต่างประเทศ

ขณะที่ นายศุภกฤษฎ์ บุญสาตร์ นายกสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทยแสดงความเห็นว่า สินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยอยู่ในโหมดที่ต้องตัดสินใจว่าประเทศจะเดินไปทิศทางไหน ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้กำกับนโยบาย เพื่อหาจุดสมดุลระหว่างความเสี่ยงและโอกาสให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศมากที่สุด

“หากประเทศไทยจะผลักดันเรื่องคริปโทเคอร์เรนซีต้องทำให้เหมือนกับรัฐซุก (Zug) สวิตเซอร์แลนด์เป็น crypto valley ที่มีโครงการนำร่องต่าง ๆ เกี่ยวกับคริปโทที่สร้างอีโคซิสเต็ม รวมถึงการสนับสนุนด้านการศึกษา ซึ่งเกาหลีใต้ก็มีการเลียนแบบโมเดลดังกล่าวด้วยการสร้าง crypto beach ที่เมืองปูซาน เพื่อให้เกิดความสนใจเข้ามาลงทุน”

ชง 5 ข้อเสนอสร้างโอกาสใหม่

ถ้าไทยมองว่าการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นโอกาสก็มี 5 ข้อเสนอ คือ

  1. community management การทำให้คอมมิวนิตี้เกิด รู้ว่าคนในอุตสาหกรรมต้องการอะไร โรดแมปที่จะไปต้องทำอย่างไร
  2. ecosystem development ต้องให้ความสำคัญกับทุกส่วน
  3. stackholder engagement การรับฟังความเห็นของทุกภาคส่วน
  4. operation management เสริมสร้างการทำงานแบบโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ
  5. investment สร้างระบบนิเวศให้ดึงดูดนักลงทุน

บิตคอยน์ทางเลือกออมเงิน

ด้าน นายพิริยะ สัมพันธารักษ์ กรรมการบริหาร บริษัท โฉลกดอทคอม จำกัด ผู้บริหารเว็บไซต์เกี่ยวกับการลงทุน ChalokeDotCom กล่าวว่า ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในไทยปัจจุบันมีการซื้อขายค่อนข้างสูง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเก็งกำไร นอกเหนือจากนั้นก็มีบางส่วนที่เป็นการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อสร้างบริการต่าง ๆ เช่น โทเค็น decentralized การให้บริการเงินกู้ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ที่สำคัญที่สุดคือ “บิตคอยน์” เป็นเหรียญคริปโทเคอร์เรนซีตัวแรกที่เกิดขึ้นในปี 2552 โดยกระแสบิตคอยน์ขึ้น ๆ ลง ๆ มาตลอด และทุกครั้งก็จะมีคนเข้ามาเพื่อหวังเก็งกำไร แต่สังเกตได้ว่าราคา มูลค่าของบิตคอยนสูงขึ้นตลอด 13 ปีที่ผ่านมา

“ตอนนี้โลกค่อย ๆ เปลี่ยน เริ่มเห็นคนที่ไม่ได้เก็งกำไร แต่เริ่มใช้บิตคอยน์เป็นทางเลือกในการเก็บออม นอกจากออมเป็นทองคำและเงินบาท ซึ่งเป็นวิธีการบริหารความเสี่ยงในการเก็บออม เพื่อไม่ให้มูลค่าหายไป แม้เวลาจะผ่านไป”

แนวทางชัดเจน ดึงเงินนักลงทุน

นายพิริยะกล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้คือ ปัญหาสมองไหล อาจไม่ได้ไหลไปไหนไกล แต่ไหลไปหาคนไทยด้วยกันเองที่ตั้งบริษัทอยู่ต่างประเทศ คนกลุ่มนี้ไม่ได้มีปัญหาเรื่องของการทำตามกฎหมาย แต่ต้องการความชัดเจนโดยไม่ต้องกังวลว่าวันหนึ่งธุรกิจอาจจะโดนสั่งให้หยุด ซึ่งที่ผ่านมามีแนวทางในการแก้ไขเป็นระยะแต่ก็ไม่ได้ผล

“เทคโนโลยีใหม่ เสรีภาพที่เกิดขึ้นตอนนี้ ทำให้เกิดเงินทุนหมุนเวียนเสรี (free capital flow) อย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่อเลี่ยงไม่ได้ นโยบายง่าย ๆ ที่จะหาประโยชน์ได้คือให้เงินทุนหมุนเวียนนี้ไหลเข้ามาในประเทศแต่ก็ไหลออกนอกประเทศได้ หากยอมรับส่วนนี้ได้ก็จะกำหนดกฎเกณฑ์ได้โดยมีเป้าหมายคือ ทำอย่างไรให้เงินทุนไหลเข้ามาในไทย ที่ผ่านมาการออกกฎต่าง ๆ ของผู้กำกับที่สอดรับกับเทคโนโลยีได้ดี และต้องมียุทธศาสตร์ในเกมเศรษฐกิจโลกใหม่ว่าประเทศไทยจะดำเนินไปทางไหน”

นายพิริยะทิ้งท้ายด้วยว่า ที่ผ่านมาเราพยายามกำกับดูแลทำให้หลายสิ่งไม่เกิด ซึ่งในยุคเว็บ 2.0 ก็ไม่ทันทำให้ต้องใช้บริการของต่างชาติ และไม่สามารถกำกับดูแลได้จึงไม่อยากเห็นภาพนั้น ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำคือสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและน่าสนใจเพื่อดึงเงินทุนเข้ามา