ซาอุฯยุคใหม่ชูแผน “White Oil” ปั้น “ท่องเที่ยว” ทดแทน “น้ำมันดิบ”

“ยุคน้ำมันดิบเฟื่องฟู” กำลังถดถอยลงเรื่อย ๆ ขณะที่หลายประเทศผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันเริ่มแสวงหาแหล่งพลังงานทางเลือกอื่น ๆ รวมถึงเพิ่มความสำคัญกับอุตสาหกรรมอื่นให้มีบทบาทมากขึ้น อย่าง “ซาอุดีอาระเบีย” ชาติเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของภูมิภาคตะวันออกกลาง ที่ปรับตัวด้วยการสร้างสมดุลใหม่ระหว่างรายได้หลักของประเทศ โดยหันมาพึ่งพาการสร้างรายได้จากอุตสาหกรรมอื่น เช่น “การท่องเที่ยว” ภายใต้ยุทธ์ศาสตร์ใหม่ “white oil” หรือ “แหล่งน้ำมันสีขาว”

นับตั้งแต่ที่ “มกุฎราชกุมารมูฮัมหมัด บิน ซัลมาน” ขึ้นครองราชบัลลังก์แห่งซาอุดีอาระเบีย ถือว่าเป็นช่วงเปลี่ยนแปลงมากที่สุดยุคหนึ่งของประเทศพี่ใหญ่แห่งโลกตะวันออกกลาง เริ่มจากการลดความเข้มข้นของการบังคับใช้กฎหมายศาสนา ปรับเข้าสู่เส้นทางมุสลิมสายกลาง เพื่อต่อต้านกลุ่มหัวรุนแรงและการก่อการร้าย

พร้อมกับมีก่อตั้งกรมบันเทิง เพื่อส่งเสริมธุรกิจบันเทิง ด้วยการเชิญนักร้อง นักแสดงตลก นักแข่งรถ นักมวย มาจัดกิจกรรมบันเทิงในประเทศมากขึ้น รวมถึงวางแผนจะสร้างโรงภาพยนตร์และศูนย์กีฬา นอกจากนี้ได้เพิ่มสิทธิสตรี และอนุญาตให้สตรีสามารถขับรถได้เองในเดือนกันยายน ปี 2017

นอกจากนี้ มกุฎราชกุมารยังประกาศแปรรูปบริษัทน้ำมันของรัฐซาอุดีอาระเบีย หรืออารามโก เพื่อเข้าสู่ตลาดหุ้น ซึ่งจะกลายเป็นบริษัทพลังงานที่ใหญ่ที่สุด และมีมูลค่าสูงสุดในโลก เพื่อยกระดับกองทุนความมั่งคั่งแห่งรัฐซาอุดีอาระเบีย

และที่น่าสนใจก็คือ “วิสัยทัศน์ 2020” เพื่อเปลี่ยนซาอุฯจากประเทศที่พึ่งพาการส่งออกน้ำมันเป็นหลัก ให้มีเศรษฐกิจที่หลากหลายและสมดุลมากขึ้น โดยนโยบายใหม่นี้จะชูโรงยุทธศาสตร์ “white oil” หรือ “น้ำมันสีขาว” โดยให้ความสำคัญถึงเรื่องการท่องเที่ยวมากขึ้น โดยจะเปิดกว้างดินแดนกลางทะเลทรายแห่งนี้ให้เป็นเป้าหมายการท่องเที่ยวใหม่ของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก เพื่อทดแทน “black oil” หรือ “น้ำมันดิบสีดำ”

โดยเจ้าชายซาอุฯตั้งเป้าดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไปเยือนประเทศมากถึงปีละ 30 ล้านคน ภายในปี 2020 ไม่นับรวมผู้แสวงบุญชาวมุสลิมจากทั่วโลกที่เดินทางเพื่อประกอบพิธีทางศาสนาทุกปี โดยได้ประกาศแผนการเมกะโปรเจ็กต์พัฒนาการท่องเที่ยวหมู่เกาะ 50 แห่งกลางทะเลแดง ภายใต้ชื่อ “โปรเจ็กต์

ทะเลแดง” โดยจะพัฒนาบนพื้นที่ 30,000 ตารางกิโลเมตร ระหว่างเมืองอัมลาจ (Amlaj) และเมืองอัล-จาวฮ์ (Al-Jawh) ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวมีขนาดใหญ่กว่าประเทศเบลเยียม

“โครงการนี้จะกลายเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวชั้นนำ ตั้งอยู่บนเกาะธรรมชาติจำนวนมากกลางทะเลแดง นอกเหนือจากโปรเจ็กต์ดังกล่าวแล้ว ยังมีการผลักดันเมืองโบราณสถานอย่าง มาเดน ซาเลห์ (Madain Saleh) มรดกโลกชิ้นแรกของซาอุดีอาระเบียด้วย” เจ้าชายมูฮัมหมัด บิน ซัลมาน กล่าว

นอกจากนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวแหล่งใหม่อย่าง “อัล วาห์บาห์” หรือ “มัคลา ทาเมีย” หลุมปากปล่องภูเขาไฟขนาดใหญ่ ลึก 250 เมตร กว้าง 2 กม. อยู่ในพื้นที่ห่างจากเมืองเจดดาห์ ทางภาคตะวันตก สามารถขับรถยนต์ไปได้ราว 4 ชั่วโมง จากตัวเมืองริยาด หลุมปากปล่องภูเขาไฟแห่งนี้ปัจจุบันกลายสภาพเป็นกระทะบ่อเกลือขนาดใหญ่ เหมาะแก่การตั้งแคมป์ชมวิวและเดินปีนเขา

ทั้งนี้ รัฐบาลซาอุฯจะเริ่มสร้างระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานและถนนเพื่อรองรับการท่องเที่ยว โดยจะเริ่มก่อสร้างขึ้นในไตรมาส 3/2019 เฟสแรกจะประกอบด้วย โรงแรมที่พัก รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกที่หรูหรา ทั้งยังตั้งเป้าเป็นฮับการคมนาคมสำคัญทางอากาศ ภาคพื้นดิน และทางทะเล โดยเชื่อว่าโปรเจ็กต์ ทั้งหมดจะเสร็จสิ้นได้ในสิ้นปี 2022

สื่อชั้นนำหลายสำนักมองว่า การเสด็จเยือน 3 ประเทศของเจ้าชายแห่งซาอุฯ ครั้งแรกนับตั้งแต่ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นมกุฎราชกุมารในปีที่ผ่านมา ถือเป็นการแสดงจุดยืนที่ค่อนข้างชัดเจนถึงทิศทางของประเทศในอนาคต โดยนำร่องเสด็จเยือน 3 ประเทศเพื่อกระชับสัมพันธ์ทางการทูตและการค้าการลงทุนร่วมกัน รวมถึงโปรโมตแผน white oil

อย่างการเสด็จเยือนเมืองไคโร เมืองหลวงประเทศอียิปต์ ได้มีการลงนามข้อตกลงมูลค่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ ร่วมกับประธานาธิบดี อับเดล ฟัตตาห์ อัล-ซิซี แห่งอียิปต์ เพื่อร่วมทุนพัฒนาโปรเจ็กต์สร้างเมืองใหม่บน “คาบสมุทรไซนาย” ซึ่งมีพื้นที่ร่วมกันกว่า 1,000 ตารางกิโลเมตร ภายใต้ชื่อ “เมือง Neom” โดยจะให้เป็นเมืองต้นแบบในการใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการของทางการริยาด

ขณะที่วันที่ 7 มี.ค.ที่ผ่านมา เจ้าชายมูฮัมหมัด บิน ซัลมาน เสด็จเยือนประเทศอังกฤษ เพื่อพูดคุยกับนายกรัฐมนตรี เทเรซา เมย์ และยกระดับการค้าการลงทุนระหว่าง 2 ประเทศ ด้วยการเปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจของทั้งสองชาติมีการลงทุนร่วมกัน รวมถึงการเปิดโอกาสให้อังกฤษเข้ามาลงทุนในซาอุฯได้ในบางสาขาธุรกิจ เช่น การศึกษาและธุรกิจบันเทิง พร้อมกับการโปรโมตแผน white oil เพื่อดึงกลุ่มนักท่องเที่ยวจากอังกฤษ รวมถึงประเทศในสหราชอาณาจักรด้วย

ต่อด้วยการเสด็จเยือนสหรัฐอเมริกา ในระหว่างวันที่ 19-22 มี.ค. ที่คาดว่านอกจากจะโปรโมตสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ในซาอุฯแล้ว คาดว่าจะมีการเจรจาเพิ่มเติมในเรื่องอาวุธและข้อตกลงกับอารามโก ที่ทางประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แสดงความสนใจตั้งแต่ครั้งที่เดินทางเยือนกรุงริยาด เมื่อปีก่อน