จับตาหมากการเมืองโลก ผู้นำคิม ดอดพบ “สี จิ้นผิง”

หมากเกมการเมืองโลกเคลื่อนไหวอีกครั้งไป แต่จะในทิศบวกหรือลบยังไม่มีใครอาจคาดเดาได้ รู้แค่ว่าสะเทือนไปทั่วทั้งมุมโลก

รายงานข่าวต่างประเทศเมื่อวันพุธที่ผ่านมา เผยว่า ขบวนรถไฟปริศนาจากเกาหลีเหนือที่เดินทางมายังกรุงปักกิ่งนั้น ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่คือ “คิม จอง-อึน” ผู้นำสูงสุดแห่งเกาหลีเหนือ พร้อมภริยาที่เดินทางมายังกรุงปักกิ่ง เพื่อพบกับ “สี จิ้นผิง” ประธานาธิบดีผู้ทรงอำนาจแห่งแดนมังกร นั่นเอง

การเดินทางโดยรถไฟ ถือเป็นการเดินทางรูปแบบดั้งเดิมที่ผู้นำโสมแดงใช้ไปมาหาสู่ลับ ๆ กับทางการจีน นับตั้งแต่อดีต สำนักข่าวบีบีซี ระบุว่า การพบกันระหว่างคิมและสี เป็นไปตามความตั้งใจของคิม ที่ตอกย้ำว่า จีนคือเพื่อนที่ใกล้ชิดสนิทสนมที่สุดในสังคมโลก และถือเป็นขั้นหนึ่งของการจัดเตรียมการเจรจาระหว่างเกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ และสหรัฐ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระหว่างเดือนเมษายน-พฤษภาคมนี้ ซึ่งรัฐบาลจีนได้เปิดเผยภายหลังการเจรจาระหว่างสองผู้นำว่า คิม จอง -อึน ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะเดินหน้าปลดอาวุธนิวเคลียร์ ตามที่เคยประกาศเอาไว้

นายคิมกล่าวด้วยว่า “จุดยืนของโสมแดงคือความตั้งใจปลดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งจะร่วมหันหาทางออกได้ หากเกาหลีใต้และสหรัฐ ช่วยเหลือและตอบสนองต่อความพยายามของเราด้วยเจตนาที่ดี”

“อันคิต พันดา” นักวิจัยจากสมาพันธ์นักวิทยาศาสตร์อเมริกา เขียนบทวิเคราะห์ให้บีบีซี ต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ไล่เรียงว่าทำไม? คิม จอง -อึน จึงเดินทางมาพบสี จิ้นผิง ก่อนพบมุน แจอิน หรือโดนัลด์ ทรัมป์ แม้ว่าจะไม่มีแผนหารือกับจีนในเดือนเมษายนเลยก็ตาม

พันดาระบุว่า การเยือนจีนครั้งนี้ เป็นการเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการของนายคิม นับตั้งแต่ขึ้นครองอำนาจในปี 2011 เป็นการตอบรับคำเชิญสี จิ้นผิง ครั้งแรก ซึ่งถ้าหากเป็นในสถานการณ์ทั่วไป อาจกล่าวได้ว่านี่คือการปรากฏตัวบนเวทีโลกของคิม จอง-อึน ตอกย้ำภาพความสำเร็จ ภายหลังจากเขาสามารถควบคุมเบ็ดเสร็จ และมีอำนาจมั่นคงภายในประเทศของตนได้

แต่อันที่จริงแล้ว อาจมองได้อีกแง่ว่า การได้ยืนเคียงข้างกับสี จิ้นผิง ผู้นำมหาอำนาจโลกในหลายด้าน และนั่งหลายเก้าอี้สำคัญในองค์การระดับโลก เช่น สมาชิกถาวรในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติทำให้เขาได้สวมบท “วีรบุรุษ” ซึ่งเป็นภาพลักษณ์เดียวกับที่ผู้นำจีนก็พยายามฉายออกมา

เพราะภายหลังสี จิ้นผิง แก้รัฐธรรมนูญที่ทำให้เขาครองตำแหน่งผู้นำจีนได้ตลอดชีวิต เช่นเดียวกับตำแหน่งของคิม จอง-อึน ดังนั้นการผูกสัมพันธ์แนบแน่นในวันนี้ระหว่างทั้ง 2 น่าจะส่งผลดีในระยะยาวได้ไม่ยาก เพราะจีนเป็นพันธมิตรใกล้ชิดหนึ่งเดียวของเกาหลีเหนือ ทั้งยังเป็นคู่ค้ารายใหญ่ “ที่สุด” ของโสมแดง แม้ว่าหลายปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างทั้ง 2 ประเทศจะกระท่อนกระแท่น

หลังจีนแบนสินค้าจากเกาหลีเหนือ เช่น ถ่านหิน และเกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธหลายครั้งระหว่างจีนจัดงานระดับชาติสำคัญ ๆ ก็ตาม

ขณะเดียวกัน สำนักข่าวบลูมเบิร์ก แห่งสหรัฐอเมริกา ได้ออกรายงานวิเคราะห์ระบุว่า นี่คือการส่งเมสเสจครั้งสำคัญจากผู้นำคิม ถึง “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐ ว่า “จีนหันกลับมาคบหา สนิทสนมกับเกาหลีเหนือเหมือนดังเดิมแล้ว”

ซึ่งทรัมป์ก็มีท่าทีเซอร์ไพรส์ไม่น้อย จากการทวีตข้อความในเช้าวันพุธด้วยโทนเสียงด้านบวกลดลงเล็กน้อย จากที่ก่อนหน้านี้กระตือรือร้นที่จะพบคิม จอง-อึน โดยระบุว่า “ผู้นำคิมกำลังทำในสิ่งที่ถูกต้องสำหรับประชาชนของเขา และถูกต้องต่อมนุษยธรรม ที่จะยกเลิกพัฒนานิวเคลียร์ แต่อย่างไรก็ตามการคว่ำบาตรก็จะยังดำเนินอย่างเต็มรูปแบบต่อไป”

บทวิเคราะห์จากบลูมเบิร์กระบุด้วยว่า การพบปะระหว่างสีและคิม ได้ช่วยยืนยันว่าผลประโยชน์ของจีน จะถูกปกป้องระหว่างการประชุมสุดยอดเกาหลีเหนือ-สหรัฐ ขณะเดียวกัน เกาหลีเหนือเอง ก็มั่นใจได้ว่า ไม่ว่าผลการประชุมกับสหรัฐจะออกมาเป็นอย่างไร ล้มเหลวหรือไม่ ก็จะยังมีพี่ใหญ่จีน คอยโอบอุ้มไว้อยู่ ดูทรงว่าจะเป็นหนังม้วนยาว ที่ต้องรอดูภาคต่อในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ !