คอลัมน์ : ชีพจรเศรษฐกิจโลก ผู้เขียน : นงนุช สิงหเดชะ
พลวัตของเทคโนโลยีในปัจจุบันนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วให้กับหลายสิ่งหลายอย่าง ทั้งในด้านสังคมและเศรษฐกิจ “ปีเตอร์ ออพเพนไฮเมอร์” นักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซกส์ เชื่อว่าเศรษฐกิจของโลกเรากำลังจะเข้าสู่ “สุดยอดวัฏจักร” หรือ Super Cycle ครั้งใหม่ โดยมีปัญญาประดิษฐ หรือ AI และเทรนด์ของการลดคาร์บอนเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก
เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ไปสู่การเติบโตในยุคใหม่ เป็นเครื่องหมายแห่งความเปลี่ยนแปลงที่ต่างไปจาก Super Cycle รอบที่แล้วที่เริ่มต้นในทศวรรษ 1980 หรือ 40 ปีที่แล้ว
- ด่วน ! วอยซ์ ทีวี ประกาศปิดกิจการทุกแพลตฟอร์ม เลิกจ้าง 100 กว่าคน
- NETA X ขาย มิ.ย.นี้ ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท หลัง MOU สรรพสามิต
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
เมื่อ 40 ปีที่แล้ว “วัฏจักรเศรษฐกิจโลก” ซึ่งก็คือวัฏจักรปัจจุบัน ถือกำเนิดขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อขึ้นไปถึงจุดสูงสุด ตามมาด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำยาวนาน เปิดหนทางไปสู่ช่วงเวลาการเติบโตแบบมโหฬารที่ถูกขนานนามว่า “การบูมที่ยาวนาน” การเริ่มต้นของวัฏจักรดังกล่าวมีลักษณะที่เศรษฐกิจขยายตัวเร็ว จนดอกเบี้ยขึ้นไปสูงสุด และหลังจากนั้นอัตราดอกเบี้ยก็อยู่ในระดับต่ำเกือบ 35 ปี
นอกจากนี้ การสิ้นสุดของสงครามเย็นได้ช่วยขจัดความเสี่ยงการเป็นปรปักษ์ด้านการเมืองระหว่างประเทศ อุตสาหกรรมต่าง ๆ ตั้งแต่สายการบินไปจนถึงธนาคารได้ผ่อนคลายกฎระเบียบต่าง ๆ ลง ท้ายที่สุดก็เกิดสิ่งที่เรียกว่า “โลกาภิวัตน์” ทำให้การค้าและการเงินระหว่างประเทศเชื่อมโยงกัน
แต่ Super Cycle ครั้งใหม่ของเศรษฐกิจโลกนี้ แรงขับเคลื่อนของมันจะไม่ได้มาจากแหล่งเดียวกับ Super Cycle ของรอบปัจจุบัน เพราะอัตราดอกเบี้ยจะไม่ลดลงมาก ขณะที่โลกาภิวัตน์ก็เผชิญอุปสรรคมากมาย ความเสี่ยงด้านการเมืองระหว่างประเทศสูงขึ้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะทำให้สินทรัพย์ด้านการเงินมีผลตอบแทนต่ำเมื่อเทียบกับทศวรรษที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ยังมีตัวขับเคลื่อนสำคัญมาทำหน้าที่แทน นั่นก็คือพลังของ AI ที่จะช่วยเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) ในระบบเศรษฐกิจ ผสานเข้ากับนโยบายการลดคาร์บอน
ออพเพนไฮเมอร์ระบุว่า จะเห็นว่าการบูมของ AI ทำให้บริษัทเทคโนโลยีเป็นเจ้าครองตลาดในปีที่แล้ว ราคาหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีอย่างเอ็นวิเดียและเมตา เป็นต้น เพิ่มขึ้นในระดับ 100% ขึ้นไป แม้ว่าเริ่มต้นปี 2024 หุ้นเทคโนโลยีจะสะดุดบ้าง แต่วอลล์สตรีตยังมีมุมมองบวกว่า AI จะยังนำตลาด เพราะเทคโนโลยีเริ่มจะแทรกซึมเข้าไปในทุกเซ็กเตอร์ของเศรษฐกิจ
บริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้ซึ่งเป็น “จุดศูนย์กลาง” ของการบูมยังมีราคาถูกเมื่อเทียบกับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่เกิดฟองสบู่ในช่วงต้นทศวรรษ 1970 และฟองสบู่เทคโนโลยีของญี่ปุ่นปลายทศวรรษ 1980 บริษัทเหล่านี้ทำกำไรมาก และตนเชื่อว่าจะยังเดินหน้าต่อไปได้และส่งผลกระทบใหญ่ในอนาคต
นักวิเคราะห์ของโกลแมน แซกส์ ระบุว่า ในส่วนของการลดคาร์บอนเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อนนั้น จะผลักดันให้เศรษฐกิจปรับโครงสร้างตัวเองและทำให้เป็นสมัยใหม่ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่จะกระตุ้นให้เศรษฐกิจเติบโตเช่นกัน
ในอีกด้านหนึ่ง ธนาคารโลกออกมาเตือนว่าเศรษฐกิจโลกปี 2024 มีแนวโน้มจะขยายตัวเพียง 2.4% ซึ่งหากไม่รวมกับการหดตัวในช่วงโควิด-19 ระบาด ถือว่าเติบโตต่ำที่สุดนับจากวิกฤตการเงินโลกเมื่อปี 2009 อีกทั้งเป็นการเติบโตที่ต่ำติดต่อกันเป็นปีที่ 3 โดยสาเหตุหลักเกิดจากดอกเบี้ยสูง และความขัดแย้งในยุโรประหว่างยูเครนกับรัสเซีย และในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลกับฮามาส
ในส่วนของสหรัฐอเมริกา ปีนี้คาดว่าจะขยายตัว 1.6% เนื่องจากใช้นโยบายการเงินเข้มงวด อย่างไรก็ตาม ปี 2023 เศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่ง โดยเติบโต 2.6% สูงกว่าคาด เนื่องจากผู้บริโภคใช้จ่ายอย่างแข็งแกร่ง ส่วนเศรษฐกิจยูโรโซนน่าจะย่ำแย่ คาดว่าจะเติบโตได้เพียง 0.7% ในปีนี้
ส่วนประเทศจีน ประเมินว่าการเติบโตจะชะลอลงเหลือ 4.5% ในปีนี้ต่ำที่สุดในรอบกว่า 30 ปี เนื่องจากผู้บริโภคใช้จ่ายน้อยลง ขณะที่วิกฤตหนี้ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังเรื้อรังต่อไป จึงคาดว่าปีหน้าการเติบโตจะลดลงอีกเหลือ 4.3% ขณะที่เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่และกำลังพัฒนาโดยรวมจะเติบโต 3.9% น้อยกว่าปีที่แล้วซึ่งเติบโต 4% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของทศวรรษ 2010 โดยเฉลี่ย 1%
ธนาคารโลกแนะนำว่า หนทางที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา ก็คือเพิ่มงบประมาณลงทุนต่อปีให้มากกว่า 2.4 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดและปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป