จับเข่าคุยทูต “ชุตินทร” ปลุกนักธุรกิจไทย “มองอินเดียใหม่”

สัมภาษณ์พิเศษ

 

ภายใต้นโยบาย “นิวอินเดีย 2022″ของรัฐบาลนายกรัฐมนตรี “นเรนทรา โมดี” ที่พยายามปฏิรูปประเทศให้มีความทันสมัย ทัดเทียมกับนานาชาติ ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมายในช่วงที่ผ่านมา อินเดียค่อย ๆ เปลี่ยนไปจากอินเดียในภาพจำเก่า ๆ

“ประชาชาติธุรกิจ” ได้มีโอกาสพูดคุยกับ “ชุตินทร คงศักดิ์” เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงนิวเดลี ซึ่งเข้ามาประจำการอินเดียในช่วงเวลาที่สำคัญของการก้าวเข้ามาเป็น “ตลาดเกิดใหม่” ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ วันนี้

“โมดี” ผู้นำรัฐบาล 2 สมัย

ทูตชุตินทรกล่าวถึงอินเดียภายใต้การนำของนายกฯโมดีว่า อินเดียวันนี้ และต่อจากนี้ จะเข้มแข็งด้วย 2 ปัจจัยสำคัญคือ ความมั่นคงของรัฐบาล และนโยบายปฏิรูปประเทศ นำมาซึ่งการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมธุรกิจต่าง ๆ ทั่วโลกจึงไม่สนใจอินเดียไม่ได้

“ธนาคารเอดีบีคาดการณ์ว่า อินเดียจะขยายตัวเร็วที่สุดในโลกไปจนถึงปี 2025 ซึ่งโมดีน่าจะได้อยู่อีกสมัยการเลือกตั้ง เชื่อว่าเราจะได้เจอผู้นำอินเดียคนนี้ไปจนถึงปี 2024”

นอกจากนี้ อินเดียยังมีการปฏิรูป 2 เรื่องใหญ่ ในปีนี้ คือ การเปลี่ยนธนบัตรใช้งาน 2 ฉบับ คือ 500 และ 1,000 รูปี และการยกเครื่องระบบภาษี (GST) ให้เป็นพื้นที่เศรษฐกิจเดียวกันทั้งประเทศ จากที่แต่ก่อนแตกต่างกันในแต่ละรัฐ ช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนต่างชาติอย่างมหาศาล

ในปีนี้ อันดับความสะดวกในการทำธุรกิจ (Ease of doing business) ของอินเดียอยู่ที่ 142 ซึ่งใน 2-3 ปีที่ผ่านมา อินเดียไต่ลำดับมาเรื่อย ๆ อย่างน่าพอใจ ทูตชุตินทรมั่นใจว่า การปฏิรูปที่เกิดขึ้นจะทำให้โลกต้องจับตาว่าปีหน้า อินเดียจะก้าวกระโดดไปอยู่อันดับที่เท่าไหร่กัน

การค้า “อินเดีย-ไทย” น้อยมาก

ทูตชุตินทรเล่าว่า นโยบายมองตะวันออกถือเป็นนโยบายสำคัญหนึ่งของอินเดีย ซึ่งอินเดียให้ความสนใจอาเซียนอย่างมาก นอกจากเขตแดนหนึ่งของอินเดียที่ติดกับเมียนมา หลาย ๆประเทศในอาเซียนยังมีชุมชนอินเดีย เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ เป็นต้น

ขณะที่อินเดียได้ให้ความสนใจไทยในฐานะส่วนหนึ่งของอาเซียน ซึ่งความสนใจยังสู้ประเทศที่มีประชากรเชื้อสายอินเดียอื่น ๆ หรือประเทศที่มีนโยบายเชิงรุก เช่น เวียดนาม ไม่ได้ปัจจุบันการค้าไทย-อินเดียมีมูลค่าราว 7 พันล้านเหรียญเท่านั้น ถือว่าน้อยเพราะคิดเป็นเพียง 1 ใน 10 ของการค้า

ในอาเซียน ด้านการลงทุนจากประเทศไทยในอินเดียมีเพียง 1% ของนักลงทุนต่างชาติทั้งหมด ขณะเดียวกันการลงทุนของอินเดียในไทยก็มีไม่มากนักเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน ซึ่งถ้าเทียบกับศักยภาพของไทยแล้ว การค้าระหว่างกันมีโอกาสไปได้มากกว่านี้

นอกจากนี้ทูตยังให้ความเห็นว่า จุดอ่อนหนึ่งของคนไทยคือเรื่องภาษาอังกฤษ ที่สู้ฟิลิปปินส์หรือประเทศอื่นไม่ได้ ทำให้การแลกเปลี่ยนหรือลงทุนด้านไอที ซึ่งเป็นด้านที่อินเดียถนัด ยังมีไม่มากเท่าที่ควร จึงเป็นประเด็นสำคัญที่ประเทศไทยต้องพยายามพัฒนาให้ทันเพื่อนบ้าน

“อินเดีย” คืออนาคตของไทย

ปัจจุบันบริษัทไทยที่ลงทุนในอินเดียมีเพียง 26 บริษัท ส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ เช่น เครือซีพี ที่ลงทุนหลากหลาย ล่าสุดเตรียมเปิดกิจการค้าส่งคล้าย ๆ แม็คโคร ในปี 2018, อิตาเลียนไทย, เอสซีจี และศรีไทยซุปเปอร์แวร์ ซึ่งยังไม่ค่อยมีรายเล็ก ๆ เข้ามา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะทัศนคติเดิม ๆ ที่มองว่าอินเดียยากจน สกปรก ล้าหลัง ซึ่งทูตชุตินทรบอกว่า เป็นความคิดที่ผิด เพราะอินเดียนี่แหละคืออนาคตของไทย

“อินเดียยังเป็นประเทศที่ค่าแรงถูก ลูกจ้างสถานทูตขั้นต่ำจบปริญญาอยู่ที่ราว 16,000 รูปี (8,000 บาท/เดือน) เท่านั้น และปัจจุบันอินเดียมีชนชั้นกลางราว 400 ล้านคน ตลาดใหญ่มาก คิดภาพ
สิถ้าคนพวกนี้ซื้อสินค้าของเรา”

ทูตระบุว่า ธุรกิจที่น่าสนใจลงทุนในอินเดียคือ แปรรูปสินค้าเกษตร ซึ่งทางรัฐบาลให้การสนับสนุนเนื่องจากอยากเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร และอุตสาหกรรมการผลิต ซึ่งสอดคล้องกับกระแสการย้ายฐานการผลิตในประเทศไทย เนื่องจากค่าแรงที่ไทยแข่งขันไม่ได้แล้ว แต่ของอินเดียยังแข่งขันได้สบาย และส่วนของภาคบริการ เช่น ร้านอาหารไทย ซึ่งปัจจุบันส่วนใหญ่ยังอยู่แต่ในโรงแรมทำให้กลุ่มผู้บริโภคคือคนมีอันจะกิน ฐานลูกค้าจึงยังไม่มาก แต่หนึ่งอุปสรรคคือคนอินเดียไม่คุ้นกลิ่นน้ำปลา ต้องใช้เกลือแทนทำให้รสชาติไม่กลมกล่อม

ดังนั้นจึงต้องหาจุดกึ่งกลางระหว่างการรักษาอาหารไทยแท้ หรือการยืดหยุ่นตามลิ้นของคนท้องถิ่น เพื่อทำให้คนหันมาบริโภคมากขึ้นธุรกิจสปาก็มีโอกาสที่ดี แต่ต้องจัดการประเด็นการค้าประเวณีซึ่งถูกอินเดียเพ่งเล็งอยู่ เพราะทำให้หญิงไทยเสียชื่อและทำให้คนที่ทำสปาจริง ๆ เสียโอกาสทางธุรกิจไปด้วย

คีย์เวิร์ดสำคัญ “มองอินเดียใหม่”

นอกจากนี้ ยังมีรายงานจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ว่า ปีที่แล้วมีหนังอินเดียกว่า 100 เรื่องไปถ่ายทำที่ประเทศไทย และมีนักท่องเที่ยวอินเดียเดินทางไปประเทศไทยราว 1.2 ล้านคน แหล่งท่องเที่ยวสำคัญคือ กรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ต ซึ่งส่วนใหญ่คนอินเดียจะมองว่าคนไทยเป็นคนน่ารัก แต่ยังไม่มองในเรื่องการลงทุนมากนัก ซึ่งก็เป็นโจทย์สำคัญในการทำให้อินเดียมองไทยอย่างเต็มศักยภาพ ซึ่งต้องเริ่มต้นจากการที่เรามองเขาใหม่ที่จะทำให้ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกว่านี้

“เรื่องของ พีทูพี (People to People)เป็นเรื่องสำคัญ ถ้ายังเมินกันอยู่ หรือมองเป็นทางลบ เรื่องการค้าการลงทุนจะไม่มาเราต้องมองอินเดียใหม่ คือไม่ได้มองอินเดียด้อยกว่าเรา” ทูตชุตินทรกล่าว