‘FDI’ จีนพุ่ง 7 เดือนรวด ก้าวข้าม ‘โควิด-เทรดวอร์’

หลังจากเกิด “สงครามการค้า” ระหว่างจีนกับสหรัฐ รวมทั้งวิกฤตจากการระบาดของโควิด-19 ทำให้มีนักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากออกมาวิเคราะห์ถึงซัพพลายเชนอุตสาหกรรมการผลิตของโลกจะเปลี่ยนไป โดยเฉพาะอาจเห็นการเคลื่อนย้ายการลงทุนต่างชาติหนีออกจากประเทศจีน

แต่ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์จีนรายงานว่า เดือน ต.ค.ที่ผ่านมา การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มีมูลค่าทั้งสิ้น 8.1 หมื่นล้านหยวน (3.7 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้น 18.3% จากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว และเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 7 เดือนรวด

เซาท์ไชน่า มอร์นิ่งโพสต์ รายงานว่า แม้จะมีปัจจัยต่าง ๆ เข้ามากระทบ แต่จีนยังสามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นได้ โดย 10 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ต.ค.) เอฟดีไอของจีนมีมูลค่ากว่า 8 แสนล้านหยวน (3.75 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้น 6.4% จากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว โดยอุตสาหกรรมที่มีการลงทุนจากต่างประเทศมากที่สุด ได้แก่ “อุตสาหกรรมบริการ” และ “อุตสาหกรรมเทคโนโลยี” เพิ่มขึ้น 16.2% และ 27.8% จากปีที่แล้วตามลำดับ

สำหรับบริษัทต่างชาติที่ขยายการลงทุนในประเทศจีนเพิ่มขึ้น อาทิ ยักษ์พลังงาน “เอ็กซอน โมบิล” “ซีเมนส์” บริษัทรถยนต์อย่าง “เทสล่า” “บีเอ็มดับเบิลยู” “โตโยต้า” รวมถึงผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า “แอลจี อีเลคทรอนิคส์” และบริษัทอสังหาริมทรัพย์ “IvanHoe Cambridge” เป็นต้น

“ซง ชางคิง” เจ้าหน้าที่อาวุโส กระทรวงพาณิชย์จีน กล่าวว่า จีนได้สร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนต่างชาติ ทุกคนต่างเห็นจีนเป็น “พื้นที่ปลอดภัย” สำหรับการลงทุนบริษัทข้ามชาติ โดยขณะนี้กำลังสนับสนุนการลงทุนจากบริษัทต่างชาติกว่า 700 โครงการ โดยจะเน้นไปที่อุตสาหกรรมการผลิต การบริการ และเทคโนโลยีเป็นหลัก ซึ่งรัฐบาลจีนได้อำนวยความสะดวกในด้านโลจิสติกส์ รวมทั้งการเปิดให้ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศเข้ามาถึง 10,000 คน เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่น

ตัวเลขการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่แข็งแกร่งบ่งบอกถึงความเชื่อมโยงทางการค้าและเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งระหว่างจีนและส่วนอื่น ๆ ของโลก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญในซัพพลายเชนระดับโลกยังคงดำเนินต่อไป ทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความพยายามของปักกิ่งในการแสวงหานักลงทุนต่างชาติแม้จะมีความตึงเครียดกับสหรัฐเพิ่มขึ้น กระทรวงพาณิชย์จีนได้ออกกฎระเบียบใหม่เพื่อให้แน่ใจว่าหน่วยงานต่าง ๆ จะตอบสนองต่อการลงทุนของบริษัทต่างชาติ

นอกจากนี้ จีนได้ออกกฎหมายใหม่ที่อนุญาตให้นักลงทุนต่างประเทศสามารถเป็นเจ้าของระบบบริหารจัดการทรัพย์สิน บริษัทหลักทรัพย์และประกัน สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่อย่าง เจพี มอร์แกน เชส, มอร์แกน สแตนเลย์, แวนการ์ด กรุ๊ป, แบลคร็อก อิงก์, อเมริกันเอ็กซ์เพรส และมาสเตอร์การ์ด ต่างเห็นผลประโยชน์จากข้อตกลงและกฎหมายนี้ แห่มาลงทุนและให้บริการทางการเงินแก่ภาคธุรกิจและผู้บริโภคในจีนมากขึ้น

ขณะเดียวกัน รัฐบาลจีนได้ให้ความมั่นใจกับนักลงทุนต่างชาติทั้งในภาครัฐและภาคเอกชนว่าประตูสู่เศรษฐกิจจะเปิดกว้างขึ้น

“สี จิ้นผิง” แถลงการณ์เมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมาว่า จีนมุ่งมั่นที่จะสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรแก่นักธุรกิจต่างชาติ ตั้งใจเปิดประเทศเพื่อสร้างความสะดวกสบายและมีขั้นตอนการลงทุนที่ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมบริการ รวมทั้งขยายการนำเข้าธุรกิจบริการ “ระดับสูง” และขยายความเข้าใจเกี่ยวกับกลยุทธ์เศรษฐกิจ “dual circulation” ว่ายังเปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศ ถึงแม้จะหันมาพึ่งธุรกิจต่างประเทศน้อยลง

ท่ามกลางทั่วโลกที่กำลังเผชิญวิกฤตโรคโควิด-19 จีนได้ก้าวข้ามและมองช่วงเวลานั้นเป็น “ประวัติศาสตร์” ไปแล้ว นอกจากนี้ “สงครามการค้า” กับมหาอำนาจอย่างสหรัฐก็มาหยุดการลงทุนจากต่างประเทศในจีนไม่ได้ จะมีเหตุการณ์ไหนที่เข้ามาหยุดมหาอำนาจเศรษฐกิจจีนได้หรือไม่