หลังจากถกเถียงกันเป็นเวลายาวนาน ในที่สุดวุฒิสภาสหรัฐก็ได้ลงมติอนุมัติร่างกฎหมาย “แพ็กเกจมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ” วงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่ “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐเคยสัญญาไว้ โดยวุฒิสภาได้ส่งร่างกฎหมายที่อนุมัติแล้วฉบับล่าสุด กลับไปให้สภาผู้แทนราษฎรอนุมัติอีกครั้ง ก่อนที่จะให้ไบเดนเซ็นรับรองร่างกฎหมายนี้
ซีเอ็นเอ็นรายงานว่า ร่างกฎหมายฉบับล่าสุดของแพ็กเกจดังกล่าว ผู้ใหญ่และเด็กที่มีรายได้น้อยกว่า 75,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี จะได้รับเงิน 1,400 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 43,000 บาท) ต่อคน และรัฐบาลจะต่ออายุโครงการมอบสวัสดิการช่วยเหลือบุคคลว่างงาน 300 ดอลลาร์สหรัฐต่ออาทิตย์ ไปจนถึงวันที่ 6 กันยายน 2564
- “ทางรัฐ” ซูเปอร์แอปแห่งชาติ รองรับแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท
- รู้ไหม ? 31 มณฑลจีน ชอบสินค้าอะไรของไทย
- ทำฟันประกันสังคม ไม่ต้องสำรองจ่าย เดือน มี.ค. 67 ยอด 169 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน เงินก้อนนี้จะถูกแบ่งไปเป็นกองทุนช่วยเหลือหน่วยงานท้องถิ่น 3.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแบ่งออกเป็นเงินช่วยเหลือทั้ง 50 รัฐ, หน่วยงานของเขตและเมือง, “ชนเผ่า” ในประเทศ และดินแดน (territory) ของสหรัฐ
นอกจากนี้ แพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจยังรวมถึงการขยายสวัสดิการแสตมป์แลกอาหาร, โครงการลดหย่อนภาษี ช่วยเหลือครอบครัวที่มีลูก, กองทุนช่วยเหลือสถานศึกษาให้เปิดได้อย่างปลอดภัย, ที่ต่ออายุโครงการสินเชื่อรายได้ต่ำสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก, กองทุนช่วยเหลือโครงการที่เกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีนโควิด-19 และการช่วยเหลือสถานพยาบาลในถิ่นทุรกันดาร เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่ต้องส่งกลับร่างกฎหมายไปให้สภาผู้แทนราษฎรอนุมัติอีกครั้ง เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงบางส่วนของร่างกฎหมายเดิม แต่แหล่งข่าวระบุว่า สภาผู้แทนราษฎรน่าจะอนุมัติร่างกฎหมายฉบับล่าสุดนี้ ซึ่งหมายความว่าจะเป็นร่างกฎหมายสำคัญสุดทั้งในแง่เศรษฐกิจและนัยในทางการเมืองฉบับแรก หลังไบเดนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี
“ถึงแม้การอนุมัติร่างกฎหมายจะไม่สวยหรู แต่เป็นสิ่งที่ชาติต้องการ ประเทศได้รับความเดือดร้อนมานานเกินไปแล้ว” ไบเดนกล่าว
ทั้งนี้ วันที่ 6 มี.ค.ที่่ผ่านมา สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐ ลงมติสนับสนุนร่างกฎหมายฉบับล่าสุดด้วยคะแนนเสียง 50 ต่อ 49 โดยทั้ง 50 เสียงมาจาก ส.ว. พรรคเดโมแครตทั้งหมด ขณะที่ ส.ว.จากพรรครีพับลิกันทุกคนลงมติไม่สนับสนุนร่างกฎหมายแพ็กเกจนี้เลย
อย่างไรก็ตาม ภายในพรรคเดโมแครตเอง ถึงแม้จะอนุมัติร่างกฎหมายฉบับนี้กันทุกคน แต่ต้องปรับเปลี่ยนบางส่วนของแพ็กเกจ เนื่องจาก ส.ว.ภายในรัฐแต่ละรัฐมีความเห็นแตกต่างกัน อย่างโครงการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 15 ดอลลาร์สหรัฐต่อชั่วโมง ภายในปี 2025 ผู้สนับสนุนนำโดย ส.ว. “เบอร์นี แซนเดอร์ส” สมาชิกสภาอิสระฝ่ายเดโมแครต และหนึ่งใน ส.ว.ที่อยู่ในกลุ่มค่อนข้างซ้าย หรือ “โปรเกรสซีฟ” ต้องการให้มีโครงการนี้ในแพ็กเกจ แต่มี ส.ว.พรรคเดโมแครตถึง 8 คนที่ไม่อนุมัติโครงการนี้
นอกจากนี้ ส.ว. “โจ แมนชิน” จากพรรคเดโมแครต ที่อยู่ในกลุ่มที่มีแนวคิดกลางหรือ “โมเดอเรต” ไม่เห็นด้วยกับการเพิ่มเงินในโครงการสวัสดิการช่วยเหลือบุคคลว่างงานเป็น 400 ดอลลาร์สหรัฐต่ออาทิตย์ ทางพรรคจึงยอมปรับลดตัวเลขนี้กลับมาอยู่ที่ 300 ดอลลาร์เหมือนเดิม โดยเพิ่มระยะเวลาโครงการไปอีก 2 อาทิตย์ และเพิ่มให้คนที่อยู่ภายใต้โครงการนี้จ่ายภาษีลดลงตามข้อกำหนด
และเนื่องจากมีสมาชิกวุฒิสภาฝั่งเดโมแครต 50 คน และรีพับลิกัน 49 คน ในวันลงมติ พรรคเดโมแครตไม่สามารถเสียเสียงสนับสนุนจาก ส.ว.คนหนึ่งคนใดได้เลย เพราะหากมี ส.ว.ของพรรคเพียง 1 คนไม่อนุมัติ ร่างกฎหมายนี้จะถูก “ปัดตก” ทันที
ส.ว. “ชัค ชูเมอร์” ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภาจากพรรคเดโมแครต กล่าวว่า ภูมิใจที่ทุกคนภายในพรรคตั้งแต่แซนเดอร์สไปจนถึงแมนชิน สามารถทำข้อตกลงใหม่จนสำเร็จ
แต่ ส.ว.รีพับลิกันทุกคนไม่อนุมัติร่างกฎหมายนี้ เพราะมองว่าเป็นการใช้เงินจำนวนมากเกิน และเสนอใช้งบฯไม่เกิน 6 แสนล้านดอลลาร์ โดยมองว่าร่างกฏหมายนี้ใช้งบประมาณเพื่อผ่านนโยบาย “ซ้ายจัด” ของเดโมแครต แต่ใช้โควิดเป็นข้ออ้าง
ทั้งนี้ “เจเน็ต เยลเลน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ กล่าวว่า ช่วงนี้จำเป็นที่จะต้องมีแพ็กเกจวงเงินสูงเพื่อช่วยเหลือชาวอเมริกันที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก อย่างประชาชนที่กำลังไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน ผู้ใหญ่และเด็ก ที่แทบไม่มีจะกิน รวมถึงธุรกิจเล็ก ๆ ที่กำลังลำบาก
โดย “นาทาน ชีทส์” นักเศรษฐศาสตร์จากบริษัทพีจีไอเอ็ม ฟิกซ์ อินคัม กล่าวว่า แม้จะมีความเสี่ยงที่อัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้นหลังจากนี้ แต่ตลาดแรงงานประเทศกำลังมีปัญหาอย่างมาก แพ็กเกจนี้จะเข้ามาช่วยเหลือทำให้มีอาชีพเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง
แต่ทว่า “ลาร์รี ซัมเมอร์ส” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มองว่ามีความเสี่ยงที่อัตราเงินเฟ้อจะพุ่งสูงจากแพ็กเกจนี้ และเป็นห่วงว่าธนาคารกลางสหรัฐ รวมถึงสมาชิกสภาคองเกรสฝั่งพรรคเดโมแครตกำลังมองข้ามปัญหา มุ่งแต่จะช่วยเหลือโดยการให้เงินอย่างเดียว