ระวังเงินดิจิทัล “บิตคอยน์” “ฟองสบู่” รอวันระเบิด !

นับจนถึงขณะนี้เป็นที่ยอมรับกันว่า “สินทรัพย์” ที่มีมูลค่าขยายตัวมากที่สุดในรอบปีก็คือ “บิตคอยน์” ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามูลค่าของบิตคอยน์ เติบโตจาก 1 บิตคอยน์มีมูลค่าเท่ากับ 300 ดอลลาร์ กลายเป็น 10,700 ดอลลาร์ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา และยังไม่ทันหมดสัปดาห์ดี มูลค่าของมันก็เพิ่มขึ้นอีกเป็นราว 14,000 ดอลลาร์ต่อ 1 บิตคอยน์แล้ว

นับเฉพาะในปี 2560 นี้มูลค่าของบิตคอยน์ถีบตัวสูงขึ้นกว่า 900 เปอร์เซ็นต์ ทั้ง ๆ ที่นักลงทุนที่จริงจังบางคน ยังไม่รู้จักว่า “บิตคอยน์” คืออะไรด้วยซ้ำไป

“บิตคอยน์” คือสกุลเงินดิจิทัล หรือที่เรียกกันอีกอย่างว่า “คริปโตเคอเรนซี” ที่หมายถึงเงินเข้ารหัส เกิดขึ้นเมื่อปี 2009 หลังวิกฤตการณ์การเงินโลก และไม่ได้มีธนาคารกลางหรือแบงก์ชาติไหน ๆ หนุนหลัง ในทางตรงกันข้ามบิตคอยน์ ถูกสร้างขึ้นมาให้เป็นสกุลเงินที่อยู่นอกระบบ นอกขีดจำกัดที่ธนาคารและระบบการชำระหนี้ที่มีอยู่กำหนดขึ้น แต่ยังสามารถใช้ชำระหนี้และซื้อสินค้าหรือบริการได้ตามปกติ

“บิตคอยน์” สามารถสร้างขึ้นได้ แต่ต้องลงทุนคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง มีพลังในการประเมินผลสูง เพื่อแก้ปัญหาเชิงคณิตศาสตร์ซับซ้อนได้จึงสามารถสร้างเงินดิจิทัลสกุลนี้ได้

เมื่อได้ “บิตคอยน์” มาแล้วจำเป็นต้องเก็บไว้ออนไลน์ ในกระเป๋าเงินดิจิทัล หรือ “ดิจิทัลวอลเลต” หากไม่ใช้วิธีก็ต้องใช้วิธีนี้ซื้อ โดยบิตคอยน์ สามารถซื้อหรือขายกันได้ผ่านแอปพลิเคชั่นสำหรับการแลกเปลี่ยน อาทิ บิตสแตมป์, บิตธัมป์ และคราเคน

แน่นอนมูลค่าที่เพิ่มสูงขึ้นของบิตคอยน์ ส่งผลให้ตลาดบิตคอยน์ที่เดิมจำกัดอยู่แต่เฉพาะประดา “เนิร์ด” และกลุ่มนักลงทุนรายย่อยทั้งหลาย เริ่มเรียกความสนใจจากบรรดานักลงทุนจริง ๆ และได้รับการยอมรับจากสถาบันการเงินจริง ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ หลังสุด ตลาดหลักทรัพย์ชิคาโก เริ่มนำเอาตราสารอนุพันธ์บิตคอยน์ ในทำนองของการกะเก็งทำกำไรจากมูลค่าในอนาคตของบิตคอยน์ เข้ามานำเสนอ และเตรียมอนุญาตให้บรรดาเฮดจ์ฟันด์ทั้งหลายเข้าไปซื้อขายได้ก่อนคริสต์มาสที่จะถึงนี้

นั่นนำไปสู่คำถามสำคัญที่ว่า จริง ๆ แล้ว บิตคอยน์ น่าลงทุนหรือไม่ หรือ เป็นเพียงความคลั่งไคล้ชั่วครั้งชั่วคราว ที่รอวันซบเซาเกิดขึ้นตามมาเท่านั้น

ในทรรศนะของนักเศรษฐศาสตร์และผู้สันทัดกรณีทางการเงิน ปรากฏการณ์บิตคอยน์ ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ มีลักษณะหลายอย่างคล้ายคลึงกับปรากฏการณ์ “ฟองสบู่” ทั้งหลายในอดีต ไม่ว่าจะเป็น ยุคคลั่งทิวลิป ที่เกิดขึ้นในเนเธอร์แลนด์ในศตวรรษที่ 17 เรื่อยไปจนถึงปรากฏการณ์ที่เรียกกันว่า “ดอทคอมบับเบิล” ซึ่งเริ่มต้นเมื่อปลายทศวรรษ 90 กับดัชนีแนสแดค ที่นิวยอร์ก ก่อนที่จะระเบิดโพละในปี 2000

ทั้งสองเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจากอาการ “คลั่งไคล้” ในระดับ “ฟีเวอร์” ต่อสิ่งที่ไม่มีคุณค่าแท้จริงอยู่ในตัว มันเอง ตัวอย่างเช่นในยุคคลั่งทิวลิป มูลค่าของหัวพันธุ์ทิวลิปที่ให้สีดอกพิเศษหัวหนึ่งซื้อขายกันสูงเกินจริงในระดับราคาที่สามารถใช้จ้างช่างฝีมือ 1 คน ทำงานได้นาน 40 ปี เป็นต้น

ยิ่งอาการคลั่งมีมาก เมื่อฟองสบู่แตกยิง “บาดเจ็บ” กันมากเป็นธรรมดา

โอลิเวอร์ ไวท์ นักเศรษฐศาสตร์ประจำบริษัทที่ปรึกษา ฟาธอม ไฟแนนเชียล คอนซัลติง ยืนยันว่า บิตคอยน์ มีคุณลักษณะของ “สินทรัพย์ฟองสบู่” อยู่ครบถ้วน มูลค่าของบิตคอยน์ขยับขึ้น-ลงเร็วและแรงมาก นักวิชาการของฟาธอมฯ เคยตรวจสอบข้อมูลบิตคอยน์ย้อนหลังไปถึงปี 2013 นำมูลค่ามาพลอตเทียบกับสินทรัพย์กระแสหลักของตลาด แล้วพบว่า มูลค่าในเวลานี้ของบิตคอยน์สูงกว่ามูลค่าเฉลี่ยนับตั้งแต่ปี 2013 เรื่อยมาถึง 6 เท่า

ตอนที่ฟองสบู่ดอตคอมแตกโพละออกมาเมื่อปี 2000 นั้น มูลค่าของหลักทรัพย์บริษัทเทคโนโลยีทั้งหลายรวมกันแล้วสูงถึง 2.9 ล้านล้านดอลลาร์ ตอนนี้มูลค่าตลาดรวมของบิตคอยน์ยังอยู่ที่เพียงแค่ 170,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ทำให้บางคนใช้เป็นเหตุผลในการแสดงให้เห็นว่า บิตคอยน์ ยังมีช่องให้โตได้อีกมาก

แต่คนอย่าง เจมี ไดมอน หัวเรือใหญ่ของเจพีมอร์แกน หรือแม้กระทั่ง ลอยด์ แบลงค์ไฟน์ แห่ง โกลด์แมน แซกส์ ก็ยังเตือนให้ทุกคนมองข้อเท็จจริงอย่างหนึ่ง คุณลักษณะของเงินดิจิทัลอย่างบิตคอยน์นั้นเหมาะมากสำหรับนักฉ้อฉลทั้งหลาย

อาจิต ไตรพาธี ผู้เชี่ยวชาญของไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ บอกว่าเรื่องเล่าขานแบบปากต่อปากรวมไปถึง มูลค่าที่ทะยานขึ้นไม่หยุดคงทำให้บิตคอยน์ดึงดูดผู้ซื้อได้อีกมากไม่น้อย ทั้งยังมีการอยู่นอกระบบซึ่งพิเศษเฉพาะอีกบางอย่าง ที่ทำให้บิตคอยน์เป็นของเย้ายวนใจ โดยเฉพาะกับคนที่ไม่ชอบหรือไม่เป็นสุขนักกับระบบการเงิน ระบบธนาคารจริง ๆ ในเวลานี้

ด้วยเหตุนี้ อาจิตถึงได้บอกว่า ถ้าถามว่าบิตคอยน์จะพุ่งขึ้นถึง 40,000 ดอลลาร์ได้หรือไม่ในกลางปีหน้า ก็คงไม่มีใครบอกว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าถามว่าการทะยานขึ้นไปในระดับนั้นเป็นไปตามหลักเหตุผลและมีตรรกอยู่ในตัวหรือไม่ คำตอบก็คงเป็นไม่เช่นเดียวกัน ขึ้นอยู่กับว่าทุกคนมองเห็นความเป็นจริงเมื่อใดเท่านั้นเอง