พอดแคสต์ดังช่วยเอาผิดฆาตกร และไขคดีที่ปิดไม่ลงในออสเตรเลีย

เมื่อ 20 ปีก่อน เฮดลีย์ โธมัส เดินออกจากสถานีตำรวจแห่งหนึ่งในนครซิดนีย์พร้อมกับความรู้สึกคลางแคลงใจ

ในตอนนั้นมีน้อยคนนักที่เคยได้ยินเรื่องราวของ ลินเนตต์ ดอว์สัน แม่ลูกสองที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในปี 1982

แต่การที่เขาไล่ล่าหาความจริงในคดีที่ยังไม่สามารถคลี่คลายได้นี้ ทำให้ชื่อของ ลินเนตต์ ดอว์สัน กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วออสเตรเลีย และนำไปสู่การที่ คริส ดอว์สัน สามีของเธอถูกตัดสินให้มีความผิดฐานฆาตกรรมเธอ

นายโธมัส กล่าวว่า เขารู้สึกว่าเรื่องราวของนางดอว์สันไม่ได้รับความเป็นธรรมมาตั้งแต่ต้น

Hedley Thomas speaks to media outside court
เฮดลีย์ โธมัส / Getty Images

“แม่อายุน้อยที่อุทิศตนเพื่อลูกสาวของตัวเองถูกใส่ร้ายว่าไม่สนใจไยดีลูก ๆ แล้วหนีออกจากบ้านไป …ในขณะที่สามีของเธอได้สานสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับเด็กนักเรียนหญิงอายุอ่อนกว่าภรรยาของตัวเองครึ่งหนึ่ง” เขาให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้กับเครือข่ายสถานีโทรทัศน์เซเว่นของออสเตรเลีย

ยิ่งนายโธมัสขุดคุ้ยลึกลงไปเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเกิดความสงสัยมากขึ้นเท่านั้น

นางดอว์สันหายออกจากบ้านไปพร้อมกับเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชุด ไม่มีกระเป๋าเดินทาง เครื่องประดับ หรือแม้แต่คอนแทคเลนส์ติดตัวไปด้วย

เธอไม่มีงานทำ ไม่มีรถยนต์ หรือแม้แต่เงินติดตัวตอนที่หายไป

“นี่เป็นเรื่องน่าขันที่สุด…คนทุกวันนี้คงมองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง” นายโธมัสกล่าวกับบรรษัทแพร่ภาพกระจายเสียงออสเตรเลีย (เอบีซี)

เมื่อ 30 ส.ค. 2022 หรือ 40 ปีหลังจากนางดอว์สันหายตัวไปปริศนา ผู้พิพากษาศาลสูงสุดแห่งรัฐนิวเซาท์เวลส์ เล็งเห็นถึงความจริงข้อนี้

ไม่มีใครพบร่างของนางดอว์สัน และการพิจารณาคดีนี้ก็ขึ้นอยู่กับหลักฐานแวดล้อมล้วน ๆ

แต่ผู้พิพากษา เอียน แฮร์ริสัน ได้ตัดสินว่านายคริส ดอว์สัน ฆาตกรรมภรรยาของตัวเอง โดยมีมูลเหตุจูงใจจากความหลงใหลในตัวพี่เลี้ยงเด็ก ซึ่งเป็นนักเรียนหญิงในโรงเรียนที่เขาสอนหนังสือ

พอดแคสต์

แม้นายโธมัสจะเคยได้ยินเกี่ยวกับคดีการหายตัวไปของนางดอว์สันมาตั้งแต่ปี 2001 แต่เขาก็ไม่ได้เริ่มขุดคุ้ยหาความจริงจนกระทั่ง 15 ปีต่อมา

ในตอนนั้น การสอบสวนคดี 2 ครั้งของเจ้าหน้าที่ฝ่ายนิติเวชมีคำแนะนำให้ตั้งข้อหาฆาตกรรมต่อผู้ต้องสงสัยคนสำคัญในคดีอย่างนายดอว์สัน แต่อัยการตัดสินใจไม่ส่งฟ้อง โดยอ้างว่าไม่มีหลักฐานเอาผิดเพียงพอ

Lynette Dawson holds one of her baby daughters
ลินเนตต์ ดอว์สัน / SUPPLIED

นายโธมัสเริ่มพูดคุยกับคนรอบตัวนางดอว์สัน ทั้งเพื่อนฝูง ครอบครัว และเพื่อนบ้าน รวมทั้งนักเรียนหญิงที่ครอบครัวจ้างมาเป็นพี่เลี้ยงลูก ซึ่งในเวลาต่อมาได้กลายเป็นภรรยาคนที่สองของนายดอว์สัน และถูกกล่าวถึงในนามของ “เจซี” ด้วยเหตุผลทางกฎหมาย

เขายังสัมภาษณ์นายตำรวจอาวุโสที่อยู่ในคณะสืบสวนสอบสวนคดีนี้หลายคน อาทิ อธิบดีกรมตำรวจรัฐนิวเซาท์เวลส์ในขณะนั้น รวมถึงแพทย์นิติเวชที่เป็นประธานการสอบสวนคดีนี้

พอดแคสต์ที่นายโธมัสผลิตให้หนังสือพิมพ์ดิออสเตรเลียน (The Australian) มีชื่อว่า The Teacher’s Pet (นักเรียนคนโปรดของคุณครู) มีเนื้อหาบอกเล่าเรื่องราวชู้สาวของนายดอว์สันกับเด็กนักเรียนหญิง และคำกล่าวอ้างว่าเขาทำร้ายร่างกายภรรยา ตลอดจนข้อกล่าวหาว่าเขาจ้างคนไปฆ่าเธอ

นอกจากนี้ยังเปิดโปงคำให้การที่ไม่ตรงกันของนายดอว์สัน รวมทั้งนำเสนอภาพของเขาในฐานะฆาตกร และมีการคาดเดาถึงวิธีการที่เขาใช้กำจัดศพภรรยา

ตอนที่พอดแคสต์ชุดนี้ออกเผยแพร่ในปี 2018 ก็ได้รับความสนใจอย่างมาก มีผู้ดาวน์โหลดไปฟังกว่า 60 ล้านครั้ง และติดชาร์ตพอดแคสต์ยอดนิยมทั่วโลก อีกทั้งยังได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติด้านวารสารศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดของออสเตรเลีย

หลังจากพอดแคสต์ได้รับการเผยแพร่ออกไปเพียงไม่กี่เดือน นายดอว์สันก็ถูกจับกุม

ตำรวจออสเตรเลียใช้เวลานานหลายปีในการผลักดันคดีนี้แต่ไม่มีความคืบหน้าใด ๆ หลายคนจึงชื่นชมว่า The Teacher’s Pet คือปัจจัยสำคัญที่ช่วยทวงคืนความยุติธรรมให้แก่นางดอว์สัน

Greg and Merilyn Simms
เกรก และ เมอริลีน ซิมส์ /Getty Images

หลังจากศาลมีคำตัดสินให้นายดอว์สันมีความผิด นายเกรก ซิมส์ น้องชายของเธอกล่าวขอบคุณนายโธมัสที่เป็นกระบอกเสียงให้พี่สาวของเขา และช่วยกอบกู้ชื่อเสียงของเธอ

“เธอรักครอบครัวของเธอ และไม่มีทางจงใจทอดทิ้งพวกเขา ในทางกลับกัน ความไว้ใจของเธอได้ถูกทำลายด้วยผู้ชายที่เธอรัก” เขากล่าว

แต่ในเวลาเดียวกัน พอดแคสต์ชุดนี้ก็กลายเป็นอุปสรรคต่อกระบวนการพิจารณาคดีเอาผิดนายดอว์สันด้วย

การพิจารณาคดี

ตลอดการพิจารณาคดีในศาลสูง ทนายความของนายดอว์สันเรียกร้องให้มีการเพิกถอนคดีนี้ โดยชี้ว่าพอดแคสต์ดังกล่าวทำให้ลูกความเขาไม่ได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม

ศาสตราจารย์ เจเรมี แกนส์ จากคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ระบุว่า ศาลเองก็เห็นด้วยว่า The Teacher’s Pet เป็นปัญหาอยู่ไม่น้อยจากเหตุผลหลายประการด้วยกัน

ประการแรก พอดแคสต์ชุดนี้เต็มไปด้วยเนื้อหาที่เป็นการคาดเดา ซึ่งไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้เป็นหลักฐานประกอบการพิจารณาคดีฆาตกรรม

นอกจากนี้ยังมีความกังวลว่ากระแสอันโด่งดังของมันจะสร้างอคติให้คณะลูกขุน รวมทั้งจะทำลายความน่าเชื่อถือในคำให้การของพยาน

ขณะเดียวกันก็มีความกังวลว่าการร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดระหว่างนายโธมัสกับตำรวจจะส่งผลต่อรูปคดี

Mick Fuller
Mick Fuller อธิบดีกรมตำรวจรัฐนิวเซาท์เวลส์ในขณะนั้น  / Getty Images

แต่ประเด็นสำคัญที่สุด ซึ่งผู้พิพากษาแฮร์ริสันได้กล่าวไว้ในวันพิพากษาคดีนี้ก็คือ การที่นายโธมัสไม่ได้นำเสนอเรื่องนี้อย่างเป็นกลาง

ศาสตราจารย์ แกนส์ บอกว่า ผู้พิพากษาต่างมองว่านายโธมัสไม่ได้แค่ทำหน้าที่ของผู้สื่อข่าว แต่พยายามโน้มน้าวให้ทุกคน รวมทั้งอัยการเชื่อว่านายดอว์สันมีความผิดจริง

แม้นายโธมัสจะปฏิเสธเสียงวิจารณ์ว่าเขานำเสนอเรื่องนี้อย่างไม่เป็นกลาง แต่หนังสือพิมพ์ดิออสเตรเลียนตัดสินใจถอดพอดแคสต์ชุดนี้ออกเป็นการชั่วคราวก่อนหน้าการพิจารณาคดี

ศาลได้ตัดสินใจเลื่อนการพิจารณาคดีออกไปเพื่อให้กระแสจากพอดแคสต์เบาบางลง ขณะเดียวกันนายดอว์สันก็ได้รับอนุญาตให้เข้ารับการพิจารณาคดีต่อหน้าผู้พิพากษาคนเดียว แทนที่จะเป็นคณะลูกขุน

ศาสตราจารย์ แกนส์ ชี้ว่านี่ส่งผลไม่ดีนักต่อการพิจารณาคดี เพราะในช่วงที่การพิจารณาคดีถูกเลื่อนออกไปนั้น ผู้ที่จะขึ้นเป็นพยานคนหนึ่งได้เสียชีวิตลง

นอกจากนี้ การพิจารณาคดีต่อหน้าผู้พิพากษายังมักไม่ค่อยลงเอยด้วยการตัดสินให้จำเลยมีความผิด เพราะผู้พิพากษาต้องตัดสินคดีโดยอ้างอิงตัวบทกฎหมายที่ชัดเจนและเข้มงวด ต่างจากคณะลูกขุนที่ไม่จำเป็นต้องอธิบายเหตุผลในการตัดสินคดี ซึ่งหมายความว่าเป็นการตัดสินไปตามความรู้สึกมากกว่า

ศาสตราจารย์ แกนส์ บอกว่ารู้สึกประหลาดใจที่ผู้พิพากษาตัดสินให้นายดอว์สันมีความผิด ขณะเดียวกันเขาชี้ว่า คำตัดสินแบบนี้มักมีการยื่นอุทธรณ์ได้ง่ายกว่า และเป็นประโยชน์ต่อนายดอว์สัน

Chris Dawson outside court
นายคริส ดอว์สัน หน้าศาล / EPA

ทีมทนายความของนายดอว์สันเผยว่าลูกความของพวกเขาน่าจะขอยื่นอุทธรณ์

ท้ายที่สุดแล้ว ผู้พิพากษาแฮร์ริสันคิดว่า The Teacher’s Pet ทำให้หลักฐานสำคัญบางอย่างไม่สามารถนำมาใช้ประกอบการพิจารณาได้ และเขาเองได้ตัดข้อมูลใหม่ ๆ ที่พอดแคสต์ค้นพบออกไป เพราะถือเป็นหลักฐานที่ไม่สามารถใช้ได้ตามกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม นายโธมัสบอกว่า เป้าหมายสำคัญที่สุดของการทำพอดแคสต์ชุดนี้คือการคลี่คลายคดีที่ปิดไม่ลง และคำพิพากษาครั้งนี้ก็ทำให้เขา “โล่งใจอย่างที่สุด”

เขาบรรยายว่าตอนที่ผู้พิพากษาเคาะค้อนและตัดสินให้นายดอว์สันมีความผิดนั้น “เป็นช่วงเวลาที่ทรงพลังยิ่ง”

“เขาวางแผน บงการ และโกหกมาอย่างน้อย 40 ปี ผมหวังว่าเขาจะได้รับการลงโทษที่สาสม” นายโธมัสกล่าว

ศาลมีกำหนดตัดสินบทลงโทษที่นายดอว์สันจะได้รับในวันที่ 11 พ.ย.นี้

……..

ข่าว บีบีซี ไทย ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ ประชาชาติธุรกิจ เป็นความร่วมมือของสององค์กรข่าว