แผ่นดินไหวตุรกี-ซีเรีย : โศกนาฏกรรมใหญ่สะกิดบาดแผลทางใจของชาวซีเรียอีกครั้ง

 

Ismael and his son Mustafa

Ismael Alrej
อิสมาเอลกับลูกชายวัย 6 ขวบเข้าโรงพยาบาลได้ 5 นาที ก่อนเกิดแผ่นดินไหว

มันคือฝันร้ายของพ่อแม่ทุกคน ลูกของคุณป่วย คุณพาเขาไปโรงพยาบาล แล้วหมอก็รับตัวไว้รักษา

คุณถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วก้าวออกจากโรงพยาบาลมาได้ 1 นาที

แต่ในนาทีนั้นเอง ชีวิตของอิสมาเอลผู้สื่อข่าวในจังหวัดอิดลิบทางภาคเหนือของซีเรีย ก็เปลี่ยนไปในชั่วพริบตา

เวลา 04:18 น.ตามเวลาท้องถิ่น ได้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.8 เขย่าพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของตุรกี ติดกับพรมแดนประเทศซีเรียทำให้ทุกอย่างรอบตัวเขาสั่นสะเทือนรุนแรง 2 นาที

“จากนั้นแผ่นดินไหวก็รุนแรงขึ้น” อิสมาเอลเล่าให้ทีมข่าวบีบีซีฟังผ่านสัญญาณโทรศัพท์ที่ไม่ขาด ๆ หาย ๆ

“ไฟดับ และกระจกบริเวณทางเข้าโรงพยาบาลเริ่มแตกเสียหาย”

เขาเห็นอาคารที่พักอาศัย 2 แห่งที่อยู่ห่างไปราว 150 เมตรพังถล่มลงมา และรู้สึกสับสนงุนงงท่ามกลางความมืด

อิสมาเอลอธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นว่า “มันเหมือนฉากวันสิ้นโลก ผมเริ่มคิดว่าจะช่วยชีวิตลูกชายออกจากซากปรักหักพังได้อย่างไร”

อีก 1 นาทีต่อมา เขาเห็นมุสตาฟา ลูกชายวิ่งเข้ามาหา กรีดร้องอย่างตกใจ เด็กชายดึงสายให้น้ำเกลือออก ทำให้เลือดไหลทะลักออกจากแขนของเขา

หลังเกิดเหตุราว 1 ชั่วโมงยังไม่มีใครสามารถเข้าถึงอาคารที่พังถล่มลงได้ ขณะเดียวกันก็ไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากหน่วยป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน เพราะไฟฟ้าดับและสัญญาณอินเทอร์เน็ตถูกตัดขาด

A young boy gets medical care at a SAMS hospital in northern Syria

Syrian American Medical Society
แพทย์ทางภาคเหนือซีเรียกำลังต้องการความช่วยเหลือด้านเวชภัณฑ์ต่าง ๆ หลังเกิดแผ่นดินไหว

อัล-ดานา เป็นเมืองใต้การยึดครองของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลซีเรียในจังหวัดอิดลิบ ใกล้พรมแดนตุรกี

หน่วยป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนเป็นหน่วยงานเดียวที่เข้าปฏิบัติการกู้ภัยในภาวะไร้หน่วยงานรัฐบาลในพื้นที่ แต่ความรุนแรงของเหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้ ทำให้พวกเขาไม่สามารถช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างทั่วถึง

ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา อิสมาเอลออกประเมินความเสียหายในจังหวัดอิดลิบ

เขาบรรยายสิ่งที่เห็นว่า “ความเสียหายใหญ่หลวงเกินจะบรรยาย พื้นที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือบริเวณที่เคยถูกโจมตีด้วยระเบิดจากรัฐบาลซีเรียและกองทัพรัสเซีย”

เหตุการณ์ประชาชนลุกฮือขึ้นต่อต้านรัฐบาลซีเรียในปี 2011 ทำให้ประเทศเข้าสู่ห้วงสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อ ซึ่งรัฐบาลซีเรียที่ได้รับการหนุนหลังจากรัสเซียระดมโจมตีพื้นที่ยึดครองของกลุ่มกบฏ

ความขัดแย้งดังกล่าวทำให้ภาคตะวันตกเฉียงเหนือของซีเรียกลายเป็นเขตการควบคุมของกองกำลังต่อต้านรัฐบาล สลับไปกับเขตควบคุมของรัฐบาลซีเรีย

อิสมาเอลเห็นอาคารที่พักอาศัยหลายแห่งในเมืองอาตาเรบ ทางตอนเหนือของเมืองอะเลปโปถูกทำลายเสียหายจากแผ่นดินไหว

เขาเล่าว่า “มีอาคารและย่านที่พักอาศัยหลายแห่งที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยเข้าให้ความช่วยเหลือไม่ถึง เพราะขาดแคลนอุปกรณ์”

“พวกเราต้องการความช่วยเหลือจากองค์กรระหว่างประเทศ” เขากล่าว

ทรัพยากรล้ำค่า

นายแพทย์ โอซามา ซัลลูม ทำงานให้สมาคมการแพทย์อเมริกันซีเรีย (Syrian American Medical Society หรือ SAMS) ซึ่งให้การสนับสนุนโรงพยาบาลหลายแห่งทั่วพื้นที่ยึดครองของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทางตะวันตกเฉียงเหนือของซีเรีย

เขาอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองอาตาเรบ หลังเกิดแผ่นดินไหวได้ไม่กี่ชั่วโมง

“ตอนที่ผมออกจากโรงพยาบาล มีผู้เสียชีวิตราว 53 คน ส่วนผู้บาดเจ็บมีนับไม่ถ้วน” เขาเล่า จากนั้นยอดผู้เสียชีวิตก็พุ่งกว่า 120 คน

Rubble on a hospital bed

Syrian American Medical Society
ซากปรักหักพังตกใส่เตียงคนไข้ที่โรงพยาบาลอัล-ดานา

นพ.ซัลลูม ระบุว่า โรงพยาบาลมีทรัพยากรไม่เพียงพอรองรับคนเจ็บในเหตุภัยพิบัติใหญ่

เขาบอกว่า “คนส่วนใหญ่ที่ได้รับการช่วยเหลือจากซากปรักหักพัง ซึ่งมีบาดแผลลึก จำเป็นต้องได้รับการรักษาเฉพาะทางและด้วยอุปกรณ์ที่ทันสมัย”

เขาเผยว่า โรงพยาบาลเมืองอาตาเรบมีเครื่องซีทีสแกนเพียง 1 เครื่อง นอกจากนี้ ความช่วยเหลือทางการแพทย์ส่วนใหญ่มักมาจากตุรกี และต้องผ่านกระบวนการตรวจที่เข้มงวด

ดังนั้นจึงไม่ชัดเจนว่า จะมีการส่งอุปกรณ์การแพทย์ชนิดใดเข้ามาในพื้นที่ยึดครองของกลุ่มกบฏในยามที่ตุรกีกำลังเผชิญวิกฤตด้านมนุษยธรรมเช่นกัน

นพ.ซัลลูม บอกว่า “ถ้าเวชภัณฑ์ที่มีอยู่ในปัจจุบันหมดลง พวกเราก็จะลำบาก”

ความหวาดกลัวที่หวนคืน

แผ่นดินไหวยังส่งผลกระทบต่อพื้นที่ในเขตการปกครองของรัฐบาลซีเรียทางภาคเหนือ

อายา ซึ่งไม่ประสงค์เปิดเผยนามสกุล เล่าให้บีบีซีฟังว่า เธอไปเยี่ยมครอบครัวในเมืองลาตาเกียตอนที่เกิดแผ่นดินไหว

เชฟวัย 26 ปี ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นกลางดึกจากแรงสั่นสะเทือนรุนแรง และพบว่าทั้งแม่และพี่น้อง 3 คนตื่นขึ้นเช่นกัน

Rescuers stand on the rubble of a collapsed building in Latakia, Syria,

Reuters via SANA
เมืองลาตาเกีย ซึ่งเป็นเขตปกครองของฝ่ายรัฐบาลได้รับความเสียหายหนักจากแผ่นดินไหวเช่นกัน

แม่ของอายาซึ่งป่วยเป็นโรคพาร์กินสันอยู่ในอาการตื่นกลัว

“ฉันรู้สึกช็อกจนตัวแข็ง ได้แต่มองฝาผนังสั่นโยกเยกไปมา” เธอเล่า

“ฉันบรรยายไม่ถูกเลยว่าสถานการณ์มันบ้าคลั่งแค่ไหน”

หลังเกิดเหตุอายาไม่สามารถหารถแท็กซี่ หรือที่พักชั่วคราวให้แม่และพี่น้องเข้าหลบภัยได้ แต่เคราะห์ดีที่ในท้ายที่สุดเธอและครอบครัวสามารถเดินทางไปยังกรุงดามัสกัสสำเร็จ แต่ไม่แน่ใจว่าจะสามารถหวนกลับมายังบ้านของพวกเขาในเมืองลาตาเกียได้อีก

The scale of the destruction is visible from the air in rebel-held northern Syria

BBC News
มีความกังวลว่า เขตปกครองของกลุ่มกบฏทางภาคเหนืออาจไม่มีใครเข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย และประเมินความเสียหาย

“เราได้เผชิญสงคราม และจำต้องออกจากบ้านในปี 2012” เธอเล่าพร้อมบรรยายว่า เหตุแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นได้ปลุกความหวาดกลัวของเธอขึ้นมาอีกครั้ง

“ฉันรู้สึกในตอนนั้นว่าทุกอย่างรอบตัวฉันอาจพังถล่มลงมา”

“ฉันอาจต้องสูญเสียแม่ หรือพี่น้อง มันเป็นความรู้สึกที่หนักหน่วงและยากเย็นมาก”

แม้จะอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยแล้ว แต่ความหวาดกลัวกลับยังไม่จางหาย

“มันเหมือนบาดแผลเปิดขึ้นมาอีกครั้ง บาดแผลขนาดใหญ่ที่กำลังหายอย่างช้า ๆ ได้เปิดออกอีกครั้ง” เธอกล่าวถึงบาดแผลทางจิตใจจากสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อกว่า 1 ทศวรรษ

“บาดแผลนี้เปิดขึ้นอีกครั้งสำหรับชาวซีเรียทุกคนไม่มีข้อยกเว้น” อายาบอก

Dr Osama Salloum in hospital

Dr Osama Salloum
นายแพทย์ โอซามา ซัลลูม เป็นห่วงสวัสดิภาพของผู้ประสบภัยที่ไร้ที่อยู่จากเหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้

สำหรับ นพ.ซัลลูม แผ่นดินไหวครั้งนี้ก็ทำให้เขาหวนนึกถึงช่วงเวลาแสนเลวร้ายขณะอาศัยในเมืองอะเลปโปที่กำลังถูกโจมตีอย่างหนัก

“ผมรู้สึกถึงความตายที่ใกล้เข้ามา ผมได้ยินเสียงอาคาร และก้อนอิฐร่วงลงมา” เขาเล่าถึงตอนเกิดแผ่นดินไหว และได้ยินเสียงผู้คนร้องขอความช่วยเหลืออย่างแตกตื่น

“มันเป็นวันที่ยากลำบาก และมองไม่เห็นจุดจบ”

ข่าว บีบีซี ไทย ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ ประชาชาติธุรกิจ เป็นความร่วมมือของสององค์กรข่าว