รอยแยกใหม่บนพื้นดินเมืองโจชิมัธ ในเทือกเขาหิมาลัย ทางภาคเหนือของอินเดียปรากฏเป็นข่าวอีกครั้ง เหตุใดเมืองที่กำลังทรุดตัวแห่งนี้จึงกลายเป็นหัวข้อถกเถียงอย่างต่อเนื่อง
บรรดานักวิทยาศาสตร์ชี้ว่ามีประเด็นน่ากังวลที่ใหญ่กว่ากำลังเกิดขึ้นในเทือกเขาที่ได้ชื่อว่า “หลังคาโลก” แห่งนี้
- รู้ไหม ? 31 มณฑลจีน ชอบสินค้าอะไรของไทย
- ทำฟันประกันสังคม ไม่ต้องสำรองจ่าย เดือน มี.ค. 67 ยอด 169 ล้านบาท
- ด่วน ! วอยซ์ ทีวี ประกาศปิดกิจการทุกแพลตฟอร์ม เลิกจ้าง 100 กว่าคน
พวกเขาระบุว่า การเร่งก่อสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานของจีนและอินเดียทั่วภูมิภาคในเทือกเขาหิมาลัยอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มอันตรายและความเสี่ยงการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ
นอกจากนี้ ภาวะโลกร้อนก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้แก่ภูมิภาคที่มีความเปราะบางทางระบบนิเวศในแถบนี้ เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้ธารน้ำแข็ง และ “ชั้นดินเยือกแข็ง” หรือ เพอร์มาฟรอสต์ (permafrost) ละลายอย่างต่อเนื่อง
พื้นที่เหล่านี้คือบริเวณที่ทั้งจีนและอินเดียต่างดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวง ทางรถไฟ การขุดเจาะอุโมงค์ การสร้างเขื่อน และสนามบินขึ้นทั้งสองฝั่งของเทือกเขาหิมาลัย
ศาสตราจารย์ อันเดรียส คาบบ์ อาจารย์ด้านภูมิศาสตร์กายภาพและอุทกวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยออสโล ในนอร์เวย์ กล่าวถึงสถานการณ์นี้ว่า “พูดง่าย ๆ ว่าคุณกำลังพาตัวเองเข้าใกล้อันตรายมากขึ้นทุกขณะ”
ข้อมูลที่ได้จากงานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า พื้นที่บริเวณ “แนวเส้นแบ่งเขตควบคุมตามความเป็นจริง” (Line of Actual Control หรือ LAC) ซึ่งถือเป็นพรมแดนโดยพฤตินัยระยะทาง 3,500 กม.ที่แบ่งเขตแดนระหว่างจีนและอินเดียนั้น มีความเสี่ยงเกิดภัยพิบัติเพิ่มขึ้น
งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Natural Hazards and Earth System Sciences ระบุว่า ช่วงระหว่างเดือน ก.ย.-ต.ค. 2022 ได้เกิดเหตุดินถล่มปิดถนนบางส่วนหรือทั้งหมด 1 จุดในระยะทางทุก 1 กิโลเมตรของทางหลวงแผ่นดินหมายเลข NH-7 ในรัฐรัฐอุตตราขัณฑ์ ของอินเดีย
งานวิจัยชิ้นอื่น ๆ ก็บ่งชี้ถึงอันตรายลักษณะเดียวกัน โดยงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์โดยสหภาพวิทยาศาสตร์โลกแห่งยุโรป ระบุว่า นอกจากปัจจัยที่เกิดตามธรรมชาติแล้ว การก่อสร้างและขยายถนนก็เป็นปัจจัยสำคัญให้เกิดเหตุดินถล่มในภูมิภาค ซึ่งสร้างความเสียหายให้แก่ระบบโครงสร้างพื้นฐานและการจราจร
ในช่วงไม่กี่ปีมี่ผ่านมา ได้เกิดเหตุดินถล่มขึ้นบ่อยครั้งในภูมิภาคนี้ เช่น ทางหลวงจารธามที่เพิ่งก่อสร้างแล้วเสร็จในรัฐอุตตราขัณฑ์ได้รับความเสียหายบางส่วนในช่วงฤดูมรสุมเมื่อปีก่อน
นอกจากนี้ มีผู้เสียชีวิตกว่า 200 คน และมีสถานีโรงไฟฟ้าพลังน้ำที่กำลังก่อสร้าง 2 แห่งได้รับความเสียหายรุนแรงจากเหตุหิมะถล่มในเขตชาโมลีของรัฐอุตตราขัณฑ์
ในระหว่างทำรายงานเรื่องเหตุการณ์ดังกล่าว สำนักจัดการภัยพิบัติแห่งชาติอินเดียพบว่า เจ้าหน้าที่ในเขตชาโมลีไม่ได้รวมปัจจัยความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศและการก่อสร้างไว้ในแผนการรับมือกับภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้น
บีบีซีได้ติดต่อไปยังกระทรวงสิ่งแวดล้อม ป่าไม้ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของอินเดีย เพื่อสอบถามถึงภัยจากการก่อสร้างที่มีต่อภูมิภาคในเทือกเขาหิมาลัย แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ
ผู้เชี่ยวชาญหลายคนระบุว่า ความเสี่ยงเกิดภัยธรรมชาติในภูมิภาคเทือกเขาหิมาลัยในฝั่งของจีนก็อยู่ในระดับสูงไม่ต่างกัน โดยชั้นดินเยือกแข็งที่กำลังละลายถือเป็นภัยคุกคามรุนแรงต่อระบบโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาค
งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Communications Earth and Environment เมื่อเดือน ต.ค.ปีก่อน พบว่า ถนนระยะทางเกือบ 9,400 กิโลเมตร, ทางรถไฟ 580 กิโลเมตร, และสายไฟฟ้ากว่า 2,600 กิโลเมตร รวมทั้งสิ่งปลูกสร้างจำนวนมากของจีนที่ตั้งอยู่บนที่ราบสูงชิงไห่-ทิเบตนั้นสร้างอยู่บนชั้นดินเยือกแข็ง
งานวิจัยชี้ว่า ภายในปี 2050 ถนน 38.14%, ทางรถไฟ 38.76%, สายไฟฟ้า 39.41% และอาคารสิ่งปลูกสร้าง 20.94% ในพื้นที่แถบนี้อาจตกอยู่ในอันตรายจากการละลายของชั้นดินเยือกแข็ง
ขณะเดียวกัน ภูมิประเทศทางภาคตะวันออกของทิเบต ไปจนถึงตอนเหนือของรัฐอรุณาจัลประเทศ และรัฐสิกขิมของอินเดีย ก็เสี่ยงเพิ่มขึ้นที่จะเผชิญภัยจากแม่น้ำที่ทะลักออกนอกเส้นทาง แล้วไหลเข้าท่วมระบบโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ
รายงานฉบับหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร The Cryosphere เมื่อปีก่อน ระบุว่า ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ภูมิภาคนี้ได้รับผลกระทบจากเหตุหิมะและหินถล่ม ธารน้ำแข็งแตกตัว และน้ำจากธารน้ำแข็งไหลเข้าท่วมหลายครั้ง
เมื่อต้นเดือน มี.ค. มีผู้เสียชีวิต 28 รายในเหตุหิมะถล่มครั้งใหญ่ปิดทางออกอุโมงค์แห่งหนึ่งในเขตปกครองตนเองทิเบตของจีน
รายงานฉบับดังกล่าวระบุว่า ทิเบตเป็นบริเวณที่รัฐบาลจีนมุ่งเข้าไปลงทุนด้านต่าง ๆ เช่น การก่อสร้างทางรถไฟความเร็วสูงเสฉวน-ทิเบต
เจ้าหน้าที่จีนระบุว่า เส้นทางรถไฟสายนี้จะพาดผ่านเทือกเขาที่มีหิมะปกคลุม 21 ลูก ซึ่งมีความสูงกว่า 4,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล และข้ามแม่น้ำใหญ่ 14 สาย
หัวหน้าวิศวกรจากสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีนให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัวว่า นอกจากสภาพภูมิประเทศสูงต่ำในเทือกเขาแล้ว เส้นทางรถไฟสายนี้ยังเผชิญกับอันตรายอื่น ๆ เช่น หิมะถล่ม ดินถล่ม และแผ่นดินไหว
บรรดาผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า การที่ผู้คนเข้าไปตั้งถิ่นฐานเพิ่มขึ้นหลายร้อยแห่งในนครญิงจี หรือ หลินจือ และนครซีกาเจ หรือ รื่อคาเจ๋อ ในทิเบตนั้น ทำให้ต้องมีการสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ มากขึ้น เช่น ถนนหนทาง ไฟฟ้า น้ำประปา และการโทรคมนาคม
บีบีซีได้ติดต่อขอให้กระทรวงนิเวศวิทยาจีนแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนี้ แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ
นอกจากการเข้าไปตั้งถิ่นฐานใหม่ของชาวจีนในพื้นที่แถบเทือกเขาหิมาลัยแล้ว ทางฝั่งอินเดีย เช่นบริเวณรัฐอรุณาจัลประเทศ และรัฐสิกขิมก็กำลังมีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำ เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีแหล่งน้ำเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะน้ำจากการละลายของธารน้ำแข็ง ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงเกิดอุทกภัย
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า การแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์และความเป็นปรปักษ์ระหว่างอินเดียกับจีน ยิ่งทำให้ชาติมหาอำนาจแห่งเอเชียทั้งสองเร่งดำเนินโครงการพัฒนาต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงโครงการด้านการทหารในพื้นที่พิพาทเรื่องพรมแดนบนเทือกเขาหิมาลัย
ดร. เจฟฟรีย์ คาร์เกล นักธรณีวิทยาชาวอเมริกันที่ศึกษาสถานการณ์ในเทือกเขาหิมาลัยกล่าวว่า “นี่ควรเป็นชีวมณฑลระหว่างประเทศที่ได้รับการสงวนไว้ไม่ให้มีการรบกวนใด ๆ”
“แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในเทือกเขาหิมาลัยในปัจจุบันได้เพิ่มความเสี่ยงการเกิดอันตรายจากภัยพิบัติต่าง ๆ …เราจะได้เห็นภัยพิบัติมากมายเกิดขึ้นที่นี่”
หมายเหตุ : ข่าว บีบีซีไทย ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ เป็นความร่วมมือของสององค์กรข่าว