ทีดีอาร์ไอ ยกตัวอย่างสิงคโปร์-ฟินแลนด์ ทำไมถึงได้รับการยอมรับว่าเป็นประเทศที่มีระบบการศึกษาดี แนะไทยเร่งปรับหลักสูตรให้ทันสมัย พัฒนาคุณภาพครูผู้สอน
วันที่ 17 ธันวาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ได้แถลงข่าวเกี่ยวกับ “ผลสอบ PISA สัญญาณเตือนวิกฤตการศึกษา แก้ปัญหาให้ถูกจุด” โดยได้เปิดงานวิจัยวิเคราะห์ถึงปัญหาระบบการศึกษาไทยว่ากำลังเผชิญปัญหาอะไรบ้าง หนึ่งในประเด็นที่น่าสนใจคือ ทีดีอาร์ไอได้ยกตัวอย่างระบบการศึกษาของสิงคโปร์และฟินแลนด์ ซึ่งเป็นประเทศที่ได้รับการยอมรับว่ามีระบบการศึกษาที่ดี
- ครม.ใหม่ถวายสัตย์ เศรษฐา-เพื่อไทย รุกแก้เศรษฐกิจ
- ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล ตรวจผลรางวัล งวด 2 พ.ค. 2567
- ปิดโรงงานยอดเพิ่มเท่าตัว จับตาธุรกิจรถมือสองเสี่ยง
โดยนายพงศ์ทัศ วนิชานันท์ นักวิจัยอาวุโสด้านการปฏิรูปการศึกษากล่าวว่า สิงคโปร์และฟินแลนด์เป็นประเทศที่ได้รับการยกย่องว่ามีระบบการศึกษาดี ซึ่งสิงคโปร์จะมีความโดดเด่นในด้านการผลิตครู และพัฒนาบุคลากร ในขณะที่ฟินแลนด์จะโดดเด่นด้านหลักสูตรการเรียนการสอน
สิงคโปร์
หลักสูตรและการสอน
- ปรับหลักสูตรและการสอนทุก 6 ปี
- เน้นสมรรถนะแห่งศตวรรษที่ 21
- จัดการเรียนรู้เฉพาะศาสตร์ แต่มีความพยายามบูรณาการมากขึ้น
ด้านการผลิตและพัฒนาครู
- มีระบบการผลิตที่เชื่อมโยงกับความต้องการ
- สนับสนุนคนที่จะมาเป็นครูพิเศษ
- ตรวจสอบค่าตอบแทนสม่ำเสมอ เพื่อปรับให้แข่งขันกันสูง
- ประเมินครูต่อเนื่อง เหมาะสมกับเส้นทางวิชาชีพและตำแหน่ง
ฟินแลนด์
หลักสูตรและการสอน
- หลักสูตรและการสอนปรับทุก 10 ปี
- เน้นสมรรถนะผู้เรียน ครูเป็นผู้อำนวยการสอน
- เอื้อให้เกิดการเรียนรู้ บูรณาการข้ามศาสตร์ ผ่านการสอน “ใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน”
- เน้นการเรียนรู้จากการปฏิบัติ เช่น ทักษะวิจัย แนวปฏิบัติทางวิศวกรรมศาสตร์/วิทยาศาสตร์
การผลิตและพัฒนาครู
- เป็นครูต้องจบ ป.โท
- จัดสรรเวลาให้ครูพัฒนาวิชาชีพร่วมกัน 100 ชั่วโมงต่อปี
นายพงศ์ทัศกล่าวต่อว่า ถึงแม้ 2 ประเทศจะมีความแตกต่างกัน แต่มีจุดร่วมกันคือ ณ ปัจจุบันหลักสูตรมีความทันสมัย มีความพยายามที่จะปรับอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำให้หลักสูตรมีการอัพเดตอยู่เสมอ ต่อมาคือ มีการออกแบบระบบการผลิตพัฒนาครู เพื่อให้มีความมั่นใจว่าครูสามารถนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม เมื่อดูหลักสูตรไทย เราใช้หลักสูตรแกนกลางมากว่า 15 ปีแล้ว ถึงเวลาที่ควรปรับหลักสูตรให้ทันสมัย และให้ความสำคัญกับการพัฒนาครูผู้สอนมากขึ้น ทั้งการเพิ่มครูผู้สอนให้เพียงพอ และการพัฒนาศักยภาพครู ลดภาระงานต่าง ๆ ให้ครูมีเวลาสอนมากขึ้น เป็นต้น