แม่ทัพภาคที่ 4 ตั้งคณะความมั่นคง ตามตัวนักเลงคีย์บอร์ดหลังถูกขู่ตั้งค่าหัว 1 ล้านบาท

เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 8 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีเฟซบุ๊กโพสต์รูปภาพ พร้อมข้อความตั้งค่าหัว พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 จำนวน 1 ล้านบาท เพื่อข่มขู่ให้มีการทำร้ายแม่ทัพภาคที่ 4

ล่าสุด พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 มีคำสั่งให้ตั้งชุดคณะทำงานหน่วยงานด้านความมั่นคง และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการติดตามตัวบุคคล ที่เป็นผู้ต้องสงสัยอย่างใกล้ชิด โดยมีการจัดชุดนอกเครื่องแบบออกติดตามดูความเคลื่อนไหวต่างๆ และรอเพียงผลเปรียบเทียบหลักฐานด้านเทคนิคและหลักฐานแวดล้อมที่ฝ่ายเจ้า หน้าที่พิสูจน์หลักฐานที่มีการรวบรวมเตรียมให้ฝ่ายเจ้าหน้าที่ฝ่าย ICT ซึ่งมีความเชี่ยวชาญ พร้อมไปกับขอความร่วมือให้หน่วย DSI จัดส่งฝ่ายเทคนิคเฉพาะเดินทางลงมาสมทบกับทีมสืบสวนสอบสวนฝ่ายความมั่นคง ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคง (กอ.รมน.) ภายในภาค 4 ส่วนหน้า ซึ่งหากผลการสืบสวนมีความคืบหน้าจนสามารถยืนยันตัวบุคลได้ก็จะนำตัวมาดำเนินคดีในทันที่ แต่รายงานดังกล่าวยังไม่เป็นที่เปิดเผยถึงรายละเอียดมากนักเพราะเกรงจะเสียรูปคดี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นได้มีรายงานจากหลายฝ่าย ผู้มีหน้าที่เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ จชต.ต่างยื่นข้อเสนอแนะแนวคิดในที่ประชุมว่า กอ.รมน.ภ.4 สน. ควรจริงจังกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ให้เกิดซ้ำ โดยควรมีการทำความเข้าใจและให้ความรู้แก่เด็กๆ และเยาวชน ตลอดจนบุคคลทั่วไปที่อาจมีความคึกคะนอง ได้เข้าใจหลักกฎหมายตามพระราชบัญญัติ การกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ. ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งการเก็บรวบรวมพยานหลักฐานที่ถูกต้องอย่างเป็นสัดส่วน และให้อำนาจต่อผู้ทำหน้านำกฎหมายไปบังคับใช้อย่างจริงจังไม่มีการละเว้น ซึ่งมีผลดีต่อแนวทางการเก็บรวบรวมหลักฐานเบื้องต้น นำไปสู่แนวทางการส่งต่อหลักฐานต่างๆ ไปสู่กระบวนการสอบสวนในรูปแบบเชิงยุทธศาสตร์เชิงรุก และควรมีการจัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังและติดตามภัยคุกคามด้านสื่อสารสนเทศที่ เกี่ยวความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้

ซึ่งยังเป็น 1 ใน 7 ข้อ ของ คสช.ที่ออกคำสั่งมาก่อนนี้อยู่แล้ว เพียงเพิ่มเพิ่ม หรือตั้งคณะทำงานร่วม ระหว่างหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย อาทิ เจ้าหน้าที่กระทรวง DE ,DSI, ทหาร, ตำรวจ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเฉพาะ คอยเข้ามาเป็นส่วนช่วยจัดทำระบบฐานข้อมูลการเฝ้าระวัง ตรวจสอบและดำเนินคดี รวมทั้งการเอาผิดตามกฎหมายด้วยการสั่งปิดเฟสฯ สุ่มเสี่ยงต่อการกระทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

พล.ท.ปิยวัฒน์ กล่าวว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เก็บมาคิดให้เป็นเรื่องใหญ่ไปกว่าการทำ หน้าที่ปกป้องบ้านเมืองและช่วยเหลือพัฒนาพื้นที่ จชต.ให้เกิดความสงบสุข และคิดว่าจะทำอย่างไรการพัฒนาที่รัฐพยายามสงเสริมได้ส่งผลถึงประชาชนทุกหมู่ เหล่ได้อยู่ดีกินดี เหล่านี้ที่จะทำให้เกิดความสงบสุขได้อย่างยั่งยืน ส่วนกลุ่มคนหรืออาจเป็นน้องๆ กลุ่มไหนที่คิดทำเป็นเรื่องสนุกก็อยากให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หันมาทำในสิ่งดีๆ ที่สร้างสรรค์ และตั้งใจเล่าเรียนเป็นคนดีของพ่อแม่และสังคมในภาคหน้าจะได้มาช่วยเหลือ ช่วยพัฒนาพื้นที่บ้านเราเองให้มีความเจริญรุ่งเรืองดีกว่ามามีแนวความคิดคึก คะนองทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม เพราะเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนทำขึ้นมาก็ไม่ได้ช่วยให้ประเทศชาติพัฒนา ขึ้นมาได้ และสิ่งเดี่ยวที่จะสามารถทำให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนและมีความสงบสุขคือการ ร่วมมือร่วมใจเป็นปึกแผนท่ามกล่างความหลากหลายทางด้านศาสนาและวัฒนธรรมที่ ต่างเอื้อเกื้อหนุนกันและกันเหมือนในอดีต

ผู้สื่อข่าวรายงาน เพิ่มเติมว่า แหล่งข่าวในชุดสืบสวนสอบสวนเผยรายงาน ผลการติดตามแกะรอยผู้โพสต์ขอความตั้งค่าหัวดังกล่าวอย่างใกล้ชิดแล้ว โดยได้เริ่มแกะรอยตามเบาะแสทั้งจากการสืบค้นฐานข้อมูลและจากการแจ้งให้ เบาะแสของกลุ่มเจ้าของเฟสฯดังกล่าว แต่ก็มีหลากหลายที่เป็นการแจ้งจริงและแจ้งหวังก่อกวน จึงทำให้ต้องทำการสืบสวนไปแต่ละเบาะแสที่ได้รับ จนสามารถประมวลผลที่มาทั้งจากฐานข้อมูลรอบด้าน จนสามารถตรวจพบเบาะแสสืบค้นลึกลงไปถึงกลุ่มตัวบุคคลบางรายที่คาดว่ามีส่วน รู้เห็นและเกี่ยวข้องได้แล้ว ทั้งหมดทางฝ่ายเจ้าหน้าที่คาดว่าอาจเป็นการกระทำด้วยความคึกคะนองและเป็นการ ท้าทาย ตามภาษานักเลงคีย์บอร์ดื ซึ่งหนึ่งในเบาะแสจากรายงานระบุเป็นชายอายุประมาณ 30 – 35 ปี และเป็นการกระทำร่วมกันของกลุ่มบุคคลรวมถึงอาจมีกลุ่มนักศึกษาบางรายในสถาน ศึกษาแห่งหนึ่งในพื้นที่ จ.ปัตตานี ที่เกิดความคิดอยากทำเรื่องสนุกสนานและอยากท้าทาย กระทำไปโดยไม่ทันยั้งคิดว่าจะเกิดเป็นปัญหาใหญ่ จึงได้ปิดเฟสฯ หนีการติดตามกระทำผิดแบบเด็กคึกคะนอง โดยทางฝ่ายสืบสวนอยู่ในขั้นติดตามให้มารายงานตัวแสดงความบริสุทธิ์ใจ โดยเหตุการณ์โพสต์ข้อความตั้งค่าหัวดังกล่าว ชุดสืบสวนสอบสวนยืนยันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มขบวนการก่อเหตุรุนแรงแต่อย่างใด

 

ที่มา มติชนออนไลน์