BEC เผยกลยุทธ์ 2563 มุ่งหารายได้เสริมหลังโฆษณาทีวีหด

บีอีซี เปิดเผยทิศทางปี 2563 ระบุว่า จะมุ่งเน้นสร้างรายได้และกำไรจากธุรกิจใหม่ๆ ด้วยกลยุทธ์ 6 เสาหลัก คือ

1. เปิดให้แบรนด์สินค้าที่ลงโฆษณาจะสามารถเปลี่ยนผู้ชมทั้งทางทีวีหรือออนไลน์ให้เป็นผู้ซื้อได้โดยการติดต่อผ่านคอลเซนเตอร์ด้วยการสแกน QR Code หรือผ่านแอพฯ

2. เน้นการขายคอนเทนท์ไปยังต่างประเทศมากขึ้น โดยโฟกัสจีนและภูมิภาคอินโดจีนเป็นหลักเพื่อเพิ่มรายได้ในส่วนนี้ให้เป็น 2 เท่าจากปีที่แล้ว

3. ปรับแพล็ตฟอร์มออนไลน์ของช่อง 3 ให้เป็น CH3Plus ชูจุดเด่นรวมเนื้อหาทั้งหมดของช่อง 3 มาไว้ในที่เดียวทั้งการชมสดและย้อนหลัง รวมถึงจะมีระบบให้คะแนนเพื่อให้รางวัลแก่ผู้ชมทั้งทางทีวีและออนไลน์เพื่อเก็บข้อมูลบิ๊กดาต้า

4. ปรับผังช่วง 18.00-22.35น. หรือ New Prime Time โดยช่วง18.00-19.00น. จะเป็นรายการวาไรตี้สำหรับคนทำงานที่กำลังเดินทางกลับบ้าน ตามด้วยช่วง 19.00-20.00น. เน้นละครสำหรับกลุ่มครอบครัว ปิดท้ายด้วยช่วง 20.00-22.35 น. เป็นละครสำหรับกลุ่มคนเมือง

5. ยกระดับศิลปิน โดยเพิ่มความสามารถด้านการขายสินค้าและส่งออกศิลปินไปยังต่างประเทศ

6. มุ่งเก็บข้อมูลบิ๊กดาต้าของผู้ชมเพื่อให้สามรถปรับคอนเทนต์ให้ตอบสนองทั้งผู้ชมและลูกค้า(ผู้ลงโฆษณา) ได้ดีขึ้น

ทั้งนี้ตั้งเป้าปรับโครงสร้างรายได้ของปี 2563 โดยมุ่งเพิ่มสัดส่วนรายได้ค่าโฆษณาที่ไม่ได้มาจากโฆษณาทีวีจากเดิมที่ต่ำกว่า 20% ขึ้นเป็น 35%

ในส่วนของผลประกอบการ ปี 2562 นั้นมีรายได้รวม 8,310.2 ล้านบาท ลดลง 1,815 ล้านบาท หรือลดลง 17.9% เทียบกับปี 2561ทำให้กลุ่มบีอีซีมีผลขาดทุนสุทธิในส่วนที่เป็นของบีอีซี 397.2 ล้านบาท เป็นผลจากรายได้ด้านต่างๆ ซึ่งลดลงไม่ว่าจะเป็นโฆษณาซึ่งถือเป็นส่วนใหญ่มากกว่า 80% ของรายได้รวมนั้น ลดลงไปถึง 1,899.9 ล้านบาท หรือ 22% เหลือ 6,743.5 ล้านบาท ซึ่งทางบริษัทระบุว่า มาจากการแข่งขันสูงและสภาพเศรษฐกิจทำให้ผู้ลงโฆษณาลดการใช้จ่ายลงจนนาทีขายโฆษณาลดลง เช่นเดียวกับรายได้จากธุรกิจวิทยุ จนสัดส่วนรายได้จากโฆษณาลดลงจาก 85.4% มาเป็น 81.1% ของรายได้รวม

ในขณะที่รายได้จากการให้ใช้ลิขสิทธิ์และบริการอื่นลดลง 87 ล้านบาทเหลือ 953.3 ล้านบาท เนื่องจากการขายลิขสิทธิ์ละครไปยังต่างประเทศ และรายได้จากธุรกิจออนไลน์อย่าง Mellocและ CH3Thailandรวมถึงแพล็ตฟอร์มพันธมิตรลดลง

อย่างไรก็ตามรายได้จากการจัดคอนเสิร์ตและแสดงโชว์เพิ่มขึ้น 188.5 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 51.1% เป็น 557 ล้านบาท มาจากการจัดกิจกรรมต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ส่วนค่าใช้จ่ายรวมของกลุ่มลดลง 1,250.6 ล้านบาท หรือ 14.2% เหลือ 7,535.9 ล้านบาท