อนาคตของเงิน (บาท) ท่ามกลางการอุบัติของเงินดิจิทัลเอกชน (2)

เงินบาท
คอลัมน์ : ระดมสมอง
ผู้เขียน : ดร.ณรัณ โพธิ์พัฒนชัย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
facebook : Narun on Fintech Law

สำหรับบทความในตอนนี้ ผมจะขอนำเสนอแนวคิดของเงินดิจิทัลเอกชนในมุมมองของหลักนิติเศรษฐศาสตร์ เพื่อให้ท่านผู้อ่านเข้าใจว่า เมื่อเราพูดกันถึง “เงินดิจิทัลเอกชน” เราหมายถึงอะไรกันแน่ครับ

หากพิจารณาเงินที่เราใช้อยู่กันในประเทศในปัจจุบัน ได้แก่ “เงินบาท” จะพบว่าประชาชนมีความมั่นใจในเงินบาทและสมัครใจจะใช้กันอย่างแพร่หลาย เพราะเงินบาทเป็นเงินที่ออกโดยรัฐ บทบาทของรัฐในเรื่องนี้มีอย่างน้อย 2 ส่วน ดังนี้

1.เงินของรัฐ (เงินบาท) ช่วยให้ประชาชนลดต้นทุนของการทำธุรกรรมทางการเงิน เพราะไม่ต้องเสียเวลาและทรัพยากรไปกับการคำนวณมูลค่าของสินค้าและบริการ เพื่อเปรียบเทียบกับสินค้าหรือบริการอื่นที่ต้องการซื้อขายแลกเปลี่ยน การมีหน่วยเงินกลาง (common unit of account) จึงเป็นหัวใจสำคัญของระบบเศรษฐกิจในปัจจุบัน

2.รัฐสนับสนุนกลไกและสถาบันทางกฎหมายของรัฐในการช่วยระงับข้อพิพาทได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยในหลายกรณี รัฐเข้าแทรกแซงในธุรกรรมระหว่างเอกชนมากกว่าแค่การบังคับสัญญาทางแพ่งให้เป็นไปตามข้อตกลงและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

เช่น หากมีผู้ประกอบธุรกิจให้บริการชำระเงินแต่ไม่ได้ขออนุญาตให้ถูกต้องตามกฎหมาย มาตรา 44 และ 45 แห่งพระราชบัญญัติระบบการชำระเงิน พ.ศ. 2560 บัญญัติทั้งโทษปรับและจำคุกไว้สำหรับผู้กระทำความผิดดังกล่าว

หรือในกรณีที่มีการชำระหนี้ด้วยเช็ค ประเทศไทยเคยมีมาตรฐานกำหนดโทษทั้งอาญาและปรับแก่ลูกหนี้ที่ออกเช็คเพื่อชำระหนี้ โดยมีเจตนาหรือพฤติกรรมทุจริตบางประการ หากจะเปรียบเทียบกับกรณีของเงินดิจิทัลที่อยู่ในรูปแบบของสินทรัพย์ดิจิทัล กฎหมายไทยไม่มีบทบัญญัติปกป้องผู้เสียหายจากการใช้บริการผู้ให้บริการชำระราคาด้วยสินทรัพย์ดิจิทัล หรือช่วยเหลือเจ้าหนี้ที่รับชำระหนี้ด้วยตราสารที่สั่งจ่ายด้วยสินทรัพย์ดิจิทัล

จากบทบาทของรัฐดังกล่าวข้างต้น ท่านผู้อ่านจะเห็นว่า การที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งจะกลายเป็นเงินนั้น ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นบนความมั่นใจหรือเชื่อใจของคนในสังคมเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมาพร้อมกับการสนับสนุนจากภาครัฐด้วย จนอาจสรุปเป็นสมการอย่างง่าย ๆ ได้ว่า

เงินของรัฐ (state money) = ความเชื่อใจของประชาชน (trust)+การสนับสนุนจากรัฐ (state)

จากเวทีสนทนาของธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT Symposium 2022) เมื่อวันที่ 29 กันยายนที่ผ่านมา มีการพูดกันถึงการใช้เงินอื่น เช่น บิตคอยน์ USDT หรือ BNB เป็นต้น เพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการในลักษณะเดียวกับการใช้เงินโดยทั่วไปนอกจากเงินบาท โดยสินค้าและบริการที่ซื้อขายกัน มีทั้งสินค้าที่จับต้องได้ เช่น รถยนต์หรูหรืออสังหาริมทรัพย์ หรือสินค้าและบริการในโลกดิจิทัล เช่น งานศิลปะในรูปของ NFT หรือ nonfungible token

กล่าวคือ เป็นการใช้เงินดิจิทัลอย่างแพร่หลาย แม้ว่าจะไม่มีการรับรองหรือกำกับดูแลโดยหน่วยงานของรัฐ ในกรณีดังกล่าว จะเห็นว่าเงินอื่นดังกล่าวที่เป็นเงินดิจิทัลที่สร้างโดยเอกชนมีลักษณะอย่างน้อย 4 ประการดังนี้

1.เป็นสิ่งที่เอกชนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดร่วมกันใช้ด้วยความสมัครใจให้เป็นเงิน (private arrangement)

2.เนื่องจากเป็นความสมัครใจร่วมใช้ จึงอาจจะมีเอกชนกลุ่มอื่นที่ไม่เห็นพ้องด้วยหรือไม่ได้สมัครใจใช้เงินดิจิทัลดังกล่าวเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ (noninclusivity)

3.รัฐไม่จำเป็นต้องมีส่วนเกี่ยวข้องในการผลิตหรือบริหารจัดการอุปสงค์หรืออุปทานของเงินนั้น (no state sponsorship)

4.หากมีปัญหาหรือความขัดแย้งที่เกิดจากการใช้เงินดิจิทัล เอกชนที่ตกลงใช้เงินดังกล่าวต้องหาหนทางในการระงับข้อพิพาทเอง โดยรัฐจะเข้าแทรกแซงเฉพาะในส่วนของความสัมพันธ์ที่เป็นนิติกรรมสัญญาตามกฎหมายเท่านั้น (private dispute settlement)

อาจจะสรุปเป็นสมการในลักษณะเดียวกับเงินของรัฐข้างต้นได้ว่า

เงินดิจิทัลเอกชน (private digital money) = ความเชื่อใจของประชาชน (trust)+การสนับสนุนจากรัฐ (state)

คำถามสำคัญต่อไปคือ หากไม่มีการสนับสนุนจากรัฐในสมการแล้ว เงินดิจิทัลเอกชนจะยังสามารถทำหน้าที่เป็นเงินสกุลหลักแทนเงินที่ผลิตและบริหารจัดการโดยรัฐ เช่น เงินบาท ได้หรือไม่ ขออนุญาตทิ้งท้ายบทความในตอนนี้ไว้เพียงเท่านี้ แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าครับ