ปั่นหุ้น GameStop ทุนนิยมโลกาภิวัตน์ทางการเงิน

ดุลยธรรม
ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ

ทุนนิยมโลกาภิวัตน์ทางการเงินกำลังพัฒนาไปอีกขั้น ด้วยเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสารและการมีต้นทุนที่ต่ำของบริการแอปพลิเคชั่น การที่นักลงทุนรายย่อยสามารถเอาชนะกลุ่มทุนการเงิน Wall Street และนักลงทุนสถาบันอย่างกองทุนเฮดจ์ฟันด์ (Hedge Funds) เป็นผลจากการมีแพลตฟอร์มในการรวบรวมอำนาจต่อรอง การรวบรวมข้อมูล และการติดต่อสื่อสารที่มีต้นทุนต่ำหรือฟรี

นักลงทุนรายย่อยในห้อง Wall Street Bets ของเว็บบอร์ด Reddit ได้ต่อสู้กับการเก็งกำไรของกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ทำชอร์ตเซล (short sell) หุ้น GameStop ด้วยการจัดตั้งกันไปซื้อหุ้น GameStop จำนวนมาก จนกระทั่งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ไม่มีหุ้นมาส่งมอบ หลังจากการทำชอร์ตเซล และทำให้ราคาของหุ้น GameStop ปรับขึ้นไปมากกว่า 1,000% ภายในเวลาเพียงสองสัปดาห์ โดยไม่มีปัจจัยพื้นฐานใด ๆ รองรับ การปั่นหุ้น GameStop ทำให้รายย่อยจำนวนไม่น้อยได้กำไรมหาศาลได้ในเวลาอันสั้น

การที่นักลงทุนรายย่อยสามารถล้มผู้จัดการกองทุนขนาดใหญ่ใน Wall Street ที่มีทั้งประสบการณ์ และมีเงินทุนมากกว่าได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในเศรษฐกิจแบบดิจิทัลกำลังพลิกขั้วอำนาจ ปรากฏการณ์เหล่านี้ไม่สามารถอธิบายได้โดยปัจจัยทางเศรษฐศาสตร์อย่างเดียว หากต้องทำความเข้าใจโครงสร้างอำนาจ (power structure) และภาวะที่ทำให้เกิดประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจมากขึ้นของตลาดทุน (democratization of capital market)

มีการสร้างอำนาจที่คานอำนาจผูกขาด (countervailing power) ตามแนวคิดของนักเศรษฐศาสตร์ อย่าง John Kenneth Galbraith จะลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ แต่สิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นหรือตลาดทุนที่มีโครงสร้างผูกขาดสูงและมีขนาดเล็กเกินไป

ข้อมูลที่มีการสังเคราะห์อย่างดีจากการทำงานของสมองกลอัจฉริยะ (artificial intelligence-AI) บนแพลตฟอร์มในสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ กำลังเปลี่ยนสภาพแวดล้อมการลงทุน ตลาดการเงิน และธุรกิจอุตสาหกรรมต่าง ๆ ประเมินกิจกรรมปั่นหุ้นของรายย่อยกรณีหุ้น GameStop โดยใช้แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ Reddit จะแพร่ระบาดเพื่อต่อสู้กับการทำ short sell นักลงทุนสถาบัน

Advertisment

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับ GameStop ได้ระบาดไปยังหุ้นตัวอื่น ๆ ในตลาดหุ้น Wall Street เช่น AMC (หุ้นธุรกิจโรงภาพยนตร์) Bed, Bath & Beyond (กิจการเครือข่ายกิจการค้าปลีกในทวีปอเมริกาเหนือ) Blackberry (บริษัทมือถือ) รวมทั้งสิ่งนี้อาจเกิดขึ้นในประเทศไทย ผ่านห้องการลงทุนในเว็บไซต์พันทิปได้ ขณะเดียวกันพฤติกรรมเลียนแบบจะเกิดขึ้นในตลาดการเงินหลายประเทศ เช่น มาเลเซีย ก็มีกลุ่มนักลงทุนรายย่อยปั่นหุ้นบริษัทกิจการยาง เป็นต้น

สิ่งที่เกิดขึ้นกับ GameStop กำลังเกิดขึ้นนอกสหรัฐ เช่นกับ Nokia บริษัทมือถือที่ราคาปรับขึ้นมา ไม่สะท้อนมูลค่าหรือปัจจัยพื้นฐานของบริษัท อย่างไรก็ตาม สภาวะแบบนี้จะดำรงอยู่และแพร่หลายไปอีกระยะหนึ่ง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่คนต้องหยุดงานอยู่กับบ้าน จากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้เกิดนักลงทุนรายย่อยหน้าใหม่จำนวนไม่น้อยในตลาดหุ้นต้องการหาเงินในช่วงเวลาสั้น ๆ มากขึ้น

ประกอบกับดอกเบี้ยต่ำเป็นพิเศษจากการทำผ่อนคลายปริมาณเงิน หรือ QE อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้สูงว่าการปั่นหุ้นของรายย่อยสู้การทุบราคาหุ้นของเฮดจ์ฟันด์ จะจบลงด้วยการขาดทุนจำนวนมหาศาลของนักลงทุนรายย่อยที่เข้ามาลงทุนในภายหลัง

เนื่องจากราคาหุ้นหลายตัวที่ถูกปั่น ราคาแพงกว่าปัจจัยพื้นฐาน และผลกำไรที่บริษัทจะสามารถทำได้ค่อนข้างมาก การซื้อขายหุ้นโดยไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ แต่ใช้อำนาจต่อรองจากเทคโนโลยีที่เปิดให้ทำได้ จะทำให้เกิดการสะสมฟองสบู่ลูกใหญ่ และพร้อมแตกตัวเกิดวิกฤตเศรษฐกิจการเงินรอบใหม่ได้

Advertisment

ราคาหุ้นอย่าง GameStop คงไม่สามารถอยู่ในระดับราคา 325 ดอลลาร์ต่อหุ้นได้ในระยะยาว เนื่องจากมูลค่าแท้จริงอาจอยู่เพียง 10-30 ดอลลาร์ต่อหุ้นเท่านั้น เช่นเดียวกับหุ้นบางตัวในตลาดหุ้นไทย ที่ราคาพุ่งขึ้นเกินปัจจัยพื้นฐานมากกว่าปกติ ย่อมเป็นผลจากการปั่นราคาทั้งสิ้น ซึ่งคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ควรต้องเอาใจใส่ เพื่อให้ตลาดการเงินมีเสถียรภาพ และเป็นการปกป้องนักลงทุนรายย่อย

อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมตามแห่ของนักลงทุนรายย่อยอย่างกรณี GameStop ก็จะช่วยคานอำนาจการเทขายชอร์ตเซลเก็งกำไรเกินขนาดของกองทุนเฮดจ์ฟันด์ได้เช่นเดียวกัน

โลกาภิวัตน์แห่ง data กำลังปรับเปลี่ยนขั้วอำนาจในตลาดการเงินและเศรษฐกิจได้ระดับหนึ่ง การกระจายอำนาจทางเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นโดยเทคโนโลยี blockchain มากขึ้น แต่อำนาจผูกขาดและความเหลื่อมล้ำจะไม่ได้ลดลงได้โดยง่าย

กลุ่มทุนขนาดใหญ่ทางการเงินยังคงมีอำนาจผูกขาดในตลาดการเงินอยู่ ภาวะไร้เสถียรภาพจากการเคลื่อนย้ายเงินทุนระยะสั้นเก็งกำไรจึงเป็นสภาวะปกติ สร้างความเสี่ยงและภาวะผันผวนไร้เสถียรภาพได้ตลอดเวลา

บางประเทศอาจสูญเสียอำนาจในการควบคุมเศรษฐกิจตัวเอง และรายได้ภาษีหายไปจำนวนมากจากแพลตฟอร์มเทคโนโลยีดิจิทัล รายได้ของบริษัทเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในระบบภาษีของหลายประเทศ และไม่สามารถไปตามเก็บได้ การออกกฎหมายภาษีใหม่ให้เท่าทันกับเทคโนโลยีจึงมีความจำเป็นเท่า ๆ กับการออกกฎหมายมากำกับเพื่อให้ผู้บริโภค หรือ “เจ้าของข้อมูล” มีอำนาจต่อรองมากขึ้น

ทุกวันนี้เราได้เซ็นยินยอมให้บริษัทเทคโนโลยีดิจิทัลใช้ข้อมูลของเราได้อย่างเต็มที่อย่างไม่รู้ตัว ขณะที่ธนาคารกลางของหลายประเทศรวมทั้งไทยจะสูญเสียความสามารถในการควบคุมปริมาณเงินในประเทศตัวเอง เมื่อ cryptocurrency และ digital money ในรูปแบบต่าง ๆ แพร่หลายมากกว่านี้ และเป็นเรื่องยากที่ธนาคารกลางจะสกัดกั้นกระแสการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว อันมีรากฐานจากปรัชญาของการกระจายอำนาจ กระจายศูนย์ (decentralized) ที่ฝังอยู่ในนวัตกรรมดิจิทัลเหล่านี้

จึงขอให้ทางการไทย และภาคธุรกิจเอกชนไทย เตรียมตัวสำหรับควอนตัมคอมพิวติ้ง quantum computing และการพัฒนาเทคโนโลยี blockchain ด้วยอุปกรณ์ควอนตัมคอมพิวเตอร์ quantum computer สามารถประมวลข้อมูลสังเคราะห์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วกว่าเดิมหลายเท่าตัว

ระบบเศรษฐกิจ ตลาดการเงิน และธุรกิจอุตสาหกรรม จะเปลี่ยนแปลงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มีพลวัตมากยิ่งกว่าเดิม และจะมีองค์กรจำนวนมากต้องล่มสลายลง และผู้คนตกงานจำนวนมากหากปรับตัวไม่ได้ แต่หากปรับตัวได้ก็จะเกิดโอกาสทางเศรษฐกิจ และการลงทุนอย่างมากมายเช่นกัน

ขณะที่ธุรกิจในไทยไม่เกินสองแห่งที่เรียนรู้อย่างจริงจังในการนำ “คอมพิวเตอร์ควอนตัม” มาใช้ประโยชน์ทางธุรกิจ ซึ่งต่างจากบริษัทในสหรัฐ ในยุโรป ในจีน ในเกาหลีใต้ ในไต้หวัน และสิงคโปร์ ที่รัฐให้การส่งเสริมและสนับสนุน จึงขอแนะนำให้รัฐไทยต้องมียุทธศาสตร์ในเรื่องนี้ ต้องสร้างสภาวะแวดล้อมและกฎระเบียบที่สนับสนุน รวมทั้งลงทุนในระบบการศึกษาและการวิจัยด้วย