ปรับ ครม.ยึดงานเป็นเป้าหมายหลัก

บทบรรณาธิการ

ศึกในสภาการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคฝ่ายค้านเพิ่งผ่านพ้นไป แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กับ 9 รัฐมนตรีจะมีชัยในเกมการเมือง ได้รับการโหวตไว้วางใจโดยเสียงข้างมากในสภา จากพรรคร่วมรัฐบาล แต่ 3 รัฐมนตรีกลับตกม้าตายหลังศาลอาญาพิพากษาจำคุก เมื่อ 24 ก.พ. 2564

เป็นผลพวงจากที่ถูกฟ้องในคดีฐานร่วมกันเป็นกบฏกับอีกหลายข้อหา จากการร่วมชุมนุมขับไล่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ โดยปิดถนนและสถานที่ราชการบางแห่ง ช่วงปี 2556-2557

แม้คำพิพากษาดังกล่าวจะเป็นดุลพินิจของศาลชั้นต้น ต้องรอกระบวนการพิจารณาในชั้นศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา ซึ่งต้องใช้เวลาอีกระยะกว่าคดีจะสิ้นสุด แต่ทำให้ 3 รัฐมนตรีที่ถูกศาลชี้ขาดให้จำคุกขาดคุณสมบัติเป็นรัฐมนตรีไปโดยปริยาย เพราะติดล็อกข้อกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2560

ส่งผลให้ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ และ นายถาวร เสนเนียม รมช.คมนาคม ที่ศาลสั่งจำคุก หลุดจากตำแหน่ง และนายกฯ ต้องปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) แทนตำแหน่งที่ว่าง เกิดแรงกระเพื่อมทั้งในพรรคแกนนำ และพรรคร่วมรัฐบาล

แม้ยังไม่ชัดเจนว่าการปรับ ครม.ครั้งนี้ นายกฯจะปรับเท่าที่จำเป็น หรือปรับเปลี่ยนหลายตำแหน่ง แต่โผรายชื่อนักการเมือง ที่นั่งเสนาบดีที่มีการจับจอง สะท้อนถึงสภาพฝุ่นตลบในเกมแย่งชิงเก้าอี้ในพรรคร่วมรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะผู้นำและเป็นผู้ตัดสินใจเลือกรัฐมนตรี จึงต้องคัดสรรคนดี มีความสามารถเข้ามาทำงานให้ตอบโจทย์

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบันที่ประเทศกำลังเผชิญกับวิกฤตซ้ำซ้อน ประชาชน ภาคธุรกิจเอกชน ได้รับผลกระทบหนักจากภาวะเศรษฐกิจ และการแพร่ระบาดของโควิด-19 การคัดตัวผู้อาสาเข้ามาบริหารจัดการปัญหาจึงมีความสำคัญและต้องเลือกเฟ้นเป็นพิเศษ

แม้ในทางปฏิบัติการเป็นรัฐบาลผสมหลายพรรคอาจมีข้อจำกัดในทางการเมือง แต่อย่างน้อยควรใช้โอกาสนี้สร้างมิติใหม่ ลดภาพลักษณ์ในด้านลบการเมืองไทย ที่มักถูกมองว่าแต่งตั้งคนมานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีในลักษณะเป็นตัวตายตัวแทน มีการแบ่งเก้าอี้ตามสูตร ตามโควตา เพราะจะยิ่งตอกย้ำว่าปรับ ครม.ตอบโจทย์ทางการเมือง มากกว่าแก้โจทย์ประเทศ

เพื่อลบข้อครหา และคำสบประมาท การปรับเปลี่ยน ครม.รอบนี้ นายกฯ ตลอดจนพรรคร่วมรัฐบาลจึงต้องยึดการทำงานกับภารกิจในการแก้ไขปัญหาประเทศชาติ ประชาชนเป็นเป้าหมายหลัก แทนที่จะเลืิอกใช้วิธีประนีประนอม หรือเจรจาต่อรองโดยหวังผลในทางการเมืองเพื่อประคองสถานะของรัฐบาลให้อยู่รอด ขณะที่ประเทศมีความสุ่มเสี่ยงไม่สามารถก้าวไปข้างหน้ามีแต่จะถอยหลัง