“หนี้ครัวเรือน” ปีเสือพุ่งต่อ ตั้งรับ “หนี้นอกระบบ” เบ่งบาน

มองข้ามชอต
คอลัมน์ : มองข้ามชอต

ผู้เขียน : Economic Intelligence Center (EIC)
ธนาคารไทยพาณิชย์

ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศตัวเลขหนี้ครัวเรือนไทย ณ ไตรมาส 3 ปี 2021 อยู่ที่ 14.3 ล้านล้านบาท คิดเป็นอัตราการขยายตัวที่ 4.2% (YOY) ชะลอลงจากไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP อยู่ที่ระดับ 89.3% ทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้า แต่ยังถือว่าอยู่ในระดับสูง

โดยปัจจัยเสี่ยงสำคัญมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส Omicron ที่จะกระทบรายได้ครัวเรือน และทำให้ความต้องการสินเชื่อเพื่อทดแทนสภาพคล่องกลับมาเพิ่มสูง
อีกครั้ง

สินเชื่อบุคคลโตแรง

ขณะที่การขยายตัวของสินเชื่อภาคครัวเรือนจากระบบธนาคารพาณิชย์ในไตรมาส 3 ชะลอลงในทุกหมวดสินเชื่อสำคัญ ทั้งสินเชื่อที่อยู่อาศัย ยานพาหนะ ส่วนบุคคล และบัตรเครดิต โดยเฉพาะสินเชื่อรถยนต์และบัตรเครดิตที่มีการหดตัวตามกิจกรรมการใช้จ่ายที่ซบเซาลงในช่วงล็อกดาวน์

อย่างไรก็ดี สำหรับ “สินเชื่อส่วนบุคคล” แม้จะมีการชะลอตัวเล็กน้อย แต่ยังถือว่าเติบโตในระดับสูง เป็นเพราะความต้องการสภาพคล่องเพื่อชดเชยรายได้ที่ลดลง โดยในไตรมาส 3 ปี 2021 ยอดคงค้างของสินเชื่อส่วนบุคคลจากธนาคารพาณิชย์ขยายตัวที่ 8.2% สูงกว่าอัตราการเติบโตของสินเชื่อประเภทอื่น ๆ อย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลทำให้สัดส่วนของสินเชื่อส่วนบุคคลอยู่ที่ 22.7% ต่อสินเชื่ออุปโภคบริโภครวมในระบบธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้นจาก 22.5% ในไตรมาสก่อนหน้า

ทำให้สินเชื่อส่วนบุคคลขยับขึ้นมาเป็นสินเชื่อที่มีสัดส่วนสูงเป็นอันดับ 2 รองจาก “สินเชื่อที่อยู่อาศัย” แซงหน้าสัดส่วนของสินเชื่อรถยนต์เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่มีการเผยแพร่ข้อมูลสินเชื่อในปี 2013

คำค้น “เงินกู้-เงินด่วน” มาแรง

การเติบโตที่ยังอยู่ในระดับสูงของสินเชื่อส่วนบุคคลในระบบธนาคารพาณิชย์ และสินเชื่อจากบริษัทบัตรเครดิต ลีสซิ่ง และสินเชื่อส่วนบุคคลยังคงสะท้อนถึงแนวโน้มการกู้ยืมเพื่อนำมาใช้จ่ายทดแทนสภาพคล่องที่หายไป 
ตามรายได้ที่ลดลงของภาคครัวเรือนที่ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญของการเติบโตของหนี้ครัวเรือนในช่วงนี้ และเป็นเทรนด์ที่ดำเนินมาต่อเนื่องในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา สอดคล้องกับข้อมูลประกอบจาก Google trends ในส่วนของการค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับ “เงินกู้” “เงินด่วน”

จากผลการค้นหาที่ปรากฏสามารถเป็นได้ทั้งหนี้ในและนอกระบบ แม้ดัชนีจะมีแนวโน้มการค้นคำว่า “เงินกู้” “เงินด่วน” จะชะลอลงต่อเนื่อง แต่ก็ยังสูงกว่าระดับก่อนโควิดถึงราว 30% สะท้อนถึงความต้องการที่ยังสูงของผู้บริโภคต่อสินเชื่อเพื่อนำมาเป็นสภาพคล่องสำหรับการใช้จ่ายในช่วงที่รายได้ซบเซาและฟื้นตัวช้า

“หนี้นอกระบบ” เบ่งบาน

อย่างไรก็ดี สถาบันการเงินส่วนใหญ่ยังคงระมัดระวังในการให้สินเชื่อ สะท้อนจากมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคลที่เข้มงวดมากขึ้นในช่วงวิกฤต COVID-19 โดยเฉพาะกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อย ทำให้ความต้องการสินเชื่อที่ยังมีสูงอาจไม่ได้ถูกเติมเต็มได้อย่างครอบคลุมด้วยสินเชื่อในระบบ ส่งผลทำให้ในช่วง COVID-19 ผู้บริโภคจำนวนหนึ่งที่มีความต้องการสินเชื่อได้หันไปพึ่งพาหนี้นอกระบบ

จากการสำรวจผู้บริโภคของ EIC (EIC Consumer Survey 2021) พบว่ามีสัดส่วนถึง 26.1% ของกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถาม (3,205 คน) ที่ในช่วง COVID-19 มีการกู้ยืมหนี้นอกระบบ แนวโน้มดังกล่าวส่งผลให้ปริมาณหนี้นอกระบบของภาคครัวเรือนมีแนวโน้ม
เพิ่มสูงขึ้นหลังวิกฤต COVID-19

และจากข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมภาคครัวเรือน พบว่าหนี้นอกระบบของภาคครัวเรือนไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2021 อยู่สูงถึง 8.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงก่อน COVID-19 ในปี 2019 อยู่ที่ 4.8 หมื่นล้านบาท คิดเป็นอัตราเติบโตถึง 78% ถือเป็นการกลับมาเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้งของหนี้นอกระบบหลังจากที่มีแนวโน้มลดลงในปี 2019

โดยข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าปัญหาหนี้นอกระบบกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อย ครัวเรือนที่เป็นหนี้นอกระบบมีสัดส่วนอยู่ที่ 9.2% จากจำนวนครัวเรือนที่มีหนี้ทั้งหมด

หนี้ครัวเรือนสูงตัวถ่วงเศรษฐกิจ

สำหรับสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของไทยในไตรมาส 3 ปี 2021 ทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 89.3% จากที่หนี้ครัวเรือนและ GDP ขยายตัวได้ในอัตราที่ใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ตาม สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ที่ 89.3% ในไตรมาส 3 ก็ยังถือว่าสูงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด (ณ สิ้นปี 2019) หนี้ครัวเรือนต่อ GDP อยู่ที่ 79.8%

สัดส่วนหนี้ครัวเรือนของไทยในระดับดังกล่าว ส่งผลให้ไทยยังเป็นประเทศที่มีหนี้ครัวเรือนต่อ GDP สูงเมื่อเทียบกับต่างประเทศ โดยข้อมูลของ Bank for International Settlement 
(BIS) ไทยเป็นประเทศที่มีสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP สูงสุดในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนามาตั้งแต่ปี 2011 จนถึงปัจจุบัน

ผลจากที่ภาระหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง จะเป็นหนึ่งในอุปสรรคสำคัญต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทย เนื่องจากภาระหนี้สูงทำให้การใช้จ่ายของภาคครัวเรือนมีข้อจำกัดทั้งจากเม็ดเงินการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนที่จะลดลง
ตามภาระการผ่อนชำระที่สูงขึ้น และการขอสินเชื่อใหม่ที่ยากมากขึ้น จึงเป็นปัจจัยกดดันสำคัญต่อการบริโภคภาคเอกชน ซึ่งถือเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจสำคัญของไทยในยามที่การใช้จ่ายจาก
นักท่องเที่ยวต่างชาติยังไม่ฟื้นตัว ส่งผลต่อเนื่องให้เศรษฐกิจไทยในภาพรวมมีแนวโน้มฟื้นตัวช้าในระยะข้างหน้า

ครึ่งแรกปี’65 หนี้ครัวเรือนพุ่งต่อ

EIC มองว่าสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของไทยมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นอีกครั้ง โดยคาดว่าจะขยับขึ้นมาอยู่ในช่วง 89.5-90.5% ภายในครึ่งแรกของปี 2022 ก่อนที่จะทยอยปรับลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ 
หลังการแพร่ระบาดของ Omicron เบาบางลงและกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาขยายตัว

โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยว EIC มองว่าในระยะต่อไปที่ครัวเรือนไทยมีแนวโน้มเข้าสู่ช่วงของการ “ซ่อมแซมงบดุล” ยังถือว่าเป็นช่วงที่มีความเปราะบางสูง จึงต้องอาศัยมาตรการหลายด้านประกอบกันเพื่อให้สถานะทางการเงินของภาคครัวเรือนฟื้นตัวได้อย่างราบรื่น

ทั้งนี้ เนื่องจากความเสี่ยงทางเศรษฐกิจจาก COVID-19 ยังไม่หายไป จะเป็นปัจจัยฉุดรั้งสำคัญต่อรายได้ ประกอบกับภาคครัวเรือนโดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อยยังมีความท้าทายในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน

ด้วยเหตุนี้มาตรการช่วยเหลือของภาครัฐทั้งมาตรการเยียวยาด้านรายได้โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง การสนับสนุนการจ้างงาน การปรับ-เพิ่มทักษะแรงงานเพื่อเพิ่มความสามารถการหารายได้ การปรับโครงสร้างหนี้ให้การผ่อนชำระสอดคล้องกับรายได้ที่ลดลงและฟื้นช้า ไปจนถึงการเสริมสภาพคล่องแก่กลุ่มเปราะบางเพื่อลดการพึ่งพาหนี้นอกระบบซึ่งเป็นปัญหาที่ก่อตัวขึ้นมาและอาจทวีความรุนแรงขึ้นหากไม่มีความช่วยเหลือที่ตรงจุด

EIC มองว่ากลุ่มมาตรการเหล่านี้ยังมีความจำเป็นอยู่มากโดยจะต้องมีระยะเวลาการช่วยเหลือที่ยาวนานเพียงพอ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวช้า และการปรับตัวของภาคครัวเรือนทั้งการหารายได้เพิ่มเติม และการซ่อมแซมงบดุลก็จำเป็นต้องใช้เวลาเช่นกัน