เอสโซ่ เติมเต็มสร้างโอกาส ทำธุรกิจ “เซฟตี้” ต้องมาก่อน

โรงกลั่นน้ำมัน ถือเป็นธุรกิจที่ทำรายได้มหาศาล จึงนับเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่สังคมจับตามอง โดยเฉพาะประเด็นการดูแลสิ่งแวดล้อม และชุมชนที่อยู่รอบพื้นที่ใกล้เคียง หากธุรกิจเติบโต แต่ชุมชนรอบข้างมีแต่ปัญหา อาจจะกระทบถึง “ความยั่งยืน” ของธุรกิจในอนาคต บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เจ้าของโรงกลั่นน้ำมันซึ่งมีกำลังผลิต 174,000 บาร์เรล/วัน บนพื้นที่ศรีราชา จังหวัดชลบุรี นับเป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่ทำธุรกิจในไทยมามากกว่า 100 ปี จนถึงปัจจุบันที่ยังคงทำธุรกิจพร้อมกับอยู่ร่วมกับชุมชนในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี

ถามว่าอะไรที่ทำให้เอสโซ่ยังคงดำเนินธุรกิจ และอยู่ร่วมกับสังคมได้มาจนถึงทุกวันนี้ “ดร.ทวีศักดิ์ บรรลือสินธุ์” กรรมการและผู้จัดการฝ่ายกิจกรรมองค์กรและรัฐกิจสัมพันธ์ เอสโซ่ ตอบคำถามนี้ว่า ชุมชนที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงโดยเอสโซ่โฟกัส และมีความต่อเนื่องในการดูแลและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพราะโดยความรู้สึกของคนส่วนใหญ่มองว่าธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันมี “ความเสี่ยงสูง”

“เอสโซ่จึงต้องเข้มข้นในเรื่องดังกล่าว เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่าง ๆ ซึ่งโจทย์นี้สำคัญอย่างมาก ฉะนั้นในการทำธุรกิจ เอสโซ่จะตระหนักอยู่เสมอว่าการทำธุรกิจ ความปลอดภัยต้องมาเป็น “อันดับแรก” ทั้งความปลอดภัยในพื้นที่โรงกลั่นและชุมชนใกล้เคียง และโจทย์นี้ยังครอบคลุมไปถึงโปรเจ็กต์การคืนกำไรสู่สังคม (CSR) ในพื้นที่อื่น ๆ ทั้งที่มีธุรกิจของเอสโซ่ และไม่มีธุรกิจของเอสโซ่ว่าชุมชนต้องได้รับประโยชน์ในทุกมิติ ที่ประกอบไปด้วย 1) มิติด้านการศึกษา 2) มิติด้านสุขภาพ และ 3) มิติด้านความปลอดภัย

ทั้งนี้ โปรเจ็กต์ด้าน CSR ของเอสโซ่จะเน้นโฟกัสไปที่ชุมชนรอบพื้นที่โรงกลั่นน้ำมันก่อนเป็นอันดับแรก นอกจากชุมชนจะอยู่อย่างปลอดภัยแล้ว เอสโซ่จะใส่โปรแกรมการพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีลงไปด้วย เพื่อให้ชุมชนแข็งแกร่งและยั่งยืนไปพร้อม ๆ กันกับธุรกิจของเอสโซ่ด้วย เช่น โปรแกรมส่งเสริมอาชีพให้สตรีที่ทำมากว่า 10 ปีแล้ว วิธีการคือเอสโซ่ให้การสนับสนุนส่งผู้เชี่ยวชาญเข้ามาสอนทักษะต่าง ๆ ด้านวิชาชีพ เช่น การสานตะกร้า การทำไข่เค็ม หรือในผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ชุมชนมีศักยภาพและน่าจะพัฒนาต่อยอดได้

“เหมือนเราสอนให้ชาวบ้านจับปลา แทนที่จะซื้อปลาให้เลย ซึ่งจะยั่งยืนกว่า เราเปิดให้ชุมชนมาแสดงความเห็นด้วยว่าต้องการให้ช่วยเหลืออย่างไร เพราะบางครั้งคนในพื้นที่จะรู้ปัญหาที่สุด และจะช่วยทำให้ชุมชนแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง”

“ดร.ทวีศักดิ์” ยังบอกอีกว่า แม้ว่าเอสโซ่จะให้น้ำหนักการทำโปรเจ็กต์ CSR ไปที่ชุมชนรอบพื้นที่โรงกลั่นน้ำมันก็ตาม แต่ในทุกปีจะมีการให้ความช่วยเหลือไปยังพื้นที่อื่น ๆ แต่รูปแบบและวิธีการอาจจะแตกต่างกันออกไป ไม่ได้เน้นแก้ปัญหา แต่จะเน้นไปที่การเติมเต็มและสร้างโอกาส ซึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ เอสโซ่ พร้อมด้วยพันธมิตรอย่างบริษัท เทสโก้ โลตัส จำกัด และเครือข่ายธุรกิจเสริม (nonoil) อื่น ๆ ในพื้นที่สถานีบริการน้ำมัน และตัวแทนจำหน่ายน้ำมัน(ดีลเลอร์) ได้ลงพื้นที่มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ เพื่อมอบ “ทุนการศึกษา” จำนวน 600 ทุน รวมเป็นเงิน 1.8 ล้านบาท ให้กับนักเรียนจาก 52 โรงเรียน ในจังหวัดเพชรบูรณ์

“รวมถึงการมอบเงินสนับสนุนเพื่อการปรับปรุงอาคารห้องน้ำให้กับโรงเรียนในพื้นที่บ้านบุฉนวน 1.5 แสนบาท และมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น เครื่องช่วยหายใจ สร้างห้องพักผู้ป่วย เครื่องมือผ่าตัดเฝือก ในส่วนของเรื่องความปลอดภัย เอสโซ่มีกิจกรรมเสริมสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยสวมหมวกนิรภัยที่ทำมาอย่างต่อเนื่องในอีกหลายพื้นที่ ด้วยการมอบหมวกนิรภัยให้กับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์อีกด้วย”

“แต่ละปีเอสโซ่ใช้เงินไม่มากในการทำ CSR แต่กว่าที่จะเกิดขึ้นแต่ละโปรเจ็กต์ เราคิดอย่างหนักว่าชุมชนต้องเกิดการเปลี่ยนแแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น ไม่ใช่ใส่เงินเข้าไปแล้วจบ ทุกอย่างต้องสำรวจ ลงลึกถึงปัญหาให้มากที่สุด”

ปัจจุบันเอสโซ่ดำเนินธุรกิจพลังงานในไทยตั้งแต่ระดับต้นน้ำ คือ การสำรวจและผลิตปิโตรเลียม เช่น โครงการสินภูฮ่อม ที่ผลิตก๊าซธรรมชาติป้อนโรงไฟฟ้าน้ำพอง ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และส่งต่อไปเป็นก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) เป็นหลัก ตามมาด้วยธุรกิจกลางน้ำ คือ โรงกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมี และธุรกิจปลายน้ำอย่างค้าปลีกน้ำมัน ที่ปัจจุบันมีสถานีบริการน้ำมันกว่า 583 แห่งทั่วประเทศ ทั้งยังมีเป้าหมายที่จะขยายสถานีบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการใช้ของลูกค้ามากขึ้น เพื่อรักษาส่วนแบ่งทางการตลาด (market share) เอาไว้ด้วย

ทั้งนี้ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทในเครือเอ็กซอนโมบิล คอร์ปอเรชั่น บริษัทอันดับหนึ่งด้านพลังงานของโลก ที่มีแหล่งผลิตพลังงานทั้งก๊าซธรรมชาติ และน้ำมัน กระจายการลงทุนอยู่ทั่วโลก