SCG Open House ดึงคนรุ่นใหม่ค้นหา “แรงบันดาลใจ”

ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ผลสำรวจของบริษัทจัดหางานหลายแห่งต่างมีทิศทางที่เหมือนกัน คือ คนรุ่นใหม่ไม่ยึดติดกับการสมัครเข้าทำงานกับบริษัทขนาดใหญ่เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว เพราะเขาเลือกที่จะทำงานกับบริษัทสตาร์ตอัพที่มีลักษณะการทำงานที่ท้าทาย เปิดโอกาสให้ตัวเองแสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ เพื่อจะได้มีโอกาสเติบโตในอาชีพอย่างรวดเร็ว

เทรนด์นี้จึงเป็นโจทย์สำคัญสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ และมีอายุมาอย่างยาวนานว่าจะต้องปรับตัวอย่างไร โดยเฉพาะการปรับ “ภาพ” ของแบรนด์ ไปพร้อม ๆ กับการสื่อสารเรื่องราวขององค์กรว่ามีความ “ใหม่” รับกับยุคดิจิทัลอย่างไร ทั้งนั้น เพื่อดึงดูดทาเลนต์ที่เป็น “ครีม” เข้ามาทำงานกับองค์กร

ตรงนี้อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เอสซีจี เปิดบ้านต้อนรับนักศึกษาและคนรุ่นใหม่เป็นครั้งแรก โดยจัดงานภายใต้ธีม “Discover Our Passion, Discover Your Passion” อันล้อไปกับ “Passion for Better” คำมั่นสัญญาใหม่ของเอสซีจี ที่ถ่ายทอดแนวคิดนี้ผ่านภาพยนตร์โฆษณาเมื่อกลางปีที่ผ่านมา

“รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส” กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ให้ข้อมูลว่า การเปิดบ้านครั้งนี้เป็นการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่มาร่วมค้นหาแรงบันดาลใจในการทำงาน และการใช้ชีวิตด้านอื่น ๆ ผ่านการเยี่ยมชม และรับฟังแนวคิด ตลอดจนประสบการณ์ในกระบวนการสร้างสรรค์นวัตกรรมของเอสซีจีว่า มีบรรยากาศและวัฒนธรรมการทำงานที่เปิดกว้างและท้าทายอย่างไร ซึ่งงานจัดขึ้นเป็นเวลา 2 วัน มีผู้เข้าร่วมงานประมาณ 1,000 คน

“เราต้องการแชร์ให้คนรุ่นใหม่ภายนอกเห็นว่า เอสซีจีไม่ใช่องค์กรใหญ่ที่เน้นเรื่องการผลิตอย่างเดียว หรือเน้นการทำของออกมาขายอย่างเดียว แต่เป็นองค์กรที่มีการบริการ และหาโซลูชั่นให้กับลูกค้า ที่สำคัญ คือ เป็นองค์กรที่ให้โอกาสกับทุกคนในเรื่องของนวัตกรรม สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราพยายามแชร์ให้กับสาธารณะเห็น และหวังว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่จะเห็นภาพที่เราต้องการสื่อสาร และอาจทำอะไรด้วยกันได้ในอนาคต”

“คนรุ่นใหม่ในบริบทของเอสซีจี ผมไม่ได้มองถึงเรื่องอายุ แต่มองว่าต้องเป็นคนที่มีความรู้ และทักษะด้านเทคโนโลยี พร้อมรับเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในงานที่ทำ และต้องเป็นคนกล้าทำ และกล้าลอง ไม่กลัวผิด กล้ารับความล้มเหลว และอุปสรรค เพื่อปรับปรุงตัวเอง ซึ่งการบริหารคนรุ่นใหม่ สิ่งสำคัญที่เขาต้องการ คือ โอกาส หรือการที่ได้ทดลองสิ่งใหม่ ๆ ซึ่งเอสซีจีให้โอกาสเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดโอกาสให้เข้าไปทำตลาดใหม่ ๆ หรือประเทศใหม่ ๆ รวมถึงโอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ด้วย”

สำหรับ SCG Open House แบ่งกิจกรรมออกเป็น 3 ส่วน คือ

1) smart campus tour ชมนวัตกรรมสินค้า บริการ และโซลูชั่นที่พัฒนาขึ้นจาก passion เพื่อตอบโจทย์ยุคดิจิทัลได้ดีกว่าเดิม โดยยกผลงานโดดเด่นของธุรกิจเคมิคอล, ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และธุรกิจแพ็กเกจจิ้ง มาจัดแสดง เช่น โซลาร์ฟาร์มลอยน้ำ, โครงการรถโรงเรียนอัจฉริยะป้องกันเด็กติดในรถ, บรรจุภัณฑ์อาหารจากเยื่อธรรมชาติ และโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ จากสตาร์ตอัพในองค์กร

นอกจากนี้ ยังพาผู้เข้าร่วมงานไปเรียนรู้แนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน ผ่านการนำเศรษฐกิจหมุนเวียน (circular economy) มาใช้กับธุรกิจ พร้อมทั้งพาไปสัมผัสกับบรรยากาศสมาร์ทออฟฟิศ ซึ่งแวดล้อมด้วยพื้นที่สีเขียว รวมถึงอาคาร health center โดยมีทั้ง health care ที่มีบุคลากรจาก รพ.รามาธิบดี มาให้บริการตรวจรักษาทั่วไป และ health club ที่มีการจัดกิจกรรมและฟิตเนส ซึ่งพนักงานและญาติสามารถมาใช้บริการได้ฟรี ตลอดจนการนำเทคโนโลยีมาช่วยอำนวยความสะดวกให้พนักงานในการใช้ชีวิตและการทำงานด้วยแอปพลิเคชั่น employee connect

2) discover our passion รับฟังพนักงานเอสซีจีรุ่นใหม่หลากหลายสายงาน ทั้งนักพัฒนาสตาร์ตอัพในองค์กร นักการตลาดสายดิจิทัล นักออกแบบและนักวิจัยที่มุ่งตอบโจทย์ลูกค้า และนักพัฒนาธุรกิจซึ่งประจำในต่างประเทศ มาบอกเล่าประสบการณ์ และความท้าทายในการพัฒนานวัตกรรมต่าง ๆ ด้วย passion และ

และ 3) discover your passion ผู้นำองค์กรของเอสซีจีมาเปิดใจอย่างใกล้ชิดถึงการปรับตัวขององค์กรให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลง เพื่อส่งต่อพลังให้คนรุ่นใหม่ผลักดัน passion ของตัวเองสู่ความสำเร็จ

“passion ในแง่มุมของเอสซีจี คือ คำว่า change เพราะลูกค้ามีการเปลี่ยนแปลง มีความต้องการใหม่ ๆ อยากได้สินค้าที่ดีขึ้น รวมถึงตลาด คู่แข่ง ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน ดังนั้น passion ที่เรามีจะต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลง แล้วนำมาเป็นกำลังใจในการคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ลูกค้าและตลาดให้ได้”

“ผมมองว่าการเปลี่ยนแปลงทำให้เราปรับปรุง และคิดสิ่งดีที่สุด ถึงแม้จะมีความผิดหวัง หรืออุปสรรคเกิดขึ้นระหว่างทาง แต่จะเป็นบทเรียนที่ถือว่าสำคัญมาก ๆ ซึ่งควรนำความสำเร็จและความล้มเหลวมาปรับปรุงองค์กรให้เติบโตไปข้างหน้า”

การขับเคลื่อนเอสซีจีให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง “รุ่งโรจน์” บอกว่า “นวัตกรรม” เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจสามารถอยู่ได้ในระยะยาว ซึ่งเอสซีจีดำเนินงานเรื่องนวัตกรรมในหลายมิติ ไม่เพียงแต่ด้านการวิจัยและพัฒนา แต่ครอบคลุมถึงเรื่องดิจิทัล, การนำความต้องการของลูกค้ามาพัฒนาเป็น
สินค้าและบริการ หรือโซลูชั่นอื่น ๆ

“งบประมานด้านนวัตกรรมของเราอยู่ที่ 1% ของยอดขาย แต่ในระยะยาวจะปรับขึ้นมาเป็น 1.5-2% ของยอดขาย ซึ่งนวัตกรรมนั้นเราไม่ได้ทำคนเดียว แต่ยังมีเครือข่ายกับลูกค้า สตาร์ตอัพ และพยายามสร้าง ecosystem ที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าให้ได้มากที่สุด”

โดยนวัตกรรมจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัย “passion” ของ “คนรุ่นใหม่” ที่จะเข้ามาเสริมทัพ และร่วมขับเคลื่อนเอสซีจีให้เติบโตอย่างยั่งยืน