‘ซีพี กรุ๊ป’ ร่วมเวที World Economic Forum แสดงวิสัยทัศน์สู้วิกฤตโควิด

นพปฎล เดชอุดม และตัวแทนภาคธุรกิจเอกชนจากองค์กรชั้นนำทั่วโลก

ซีพี กรุ๊ป กล่าวในเวที World Economic Forum ว่าโควิด-19 เป็นภัยคุกคามความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์ไม่ยิ่งหย่อนกว่าภัยสงคราม ภาคเอกชนทั่วโลกต้องร่วมกำลังแก้ไขปัญหาสังคม

โลกเรากำลังเผชิญโจทย์ปัญหามากมาย ไม่ว่าจะเป็นความแตกต่างของรายได้ที่มีช่องว่างมากขึ้น ความกังวลเกี่ยวกับเทคโนโลยีจะมาแทนแรงงานคน ความขัดแย้งในสังคม และโรคระบาดโควิด-19 ส่งผลให้ปี 2020 เป็นปีที่โลกมีเศรษฐกิจถดถอยอย่างมาก ซึ่งการที่จะต่อสู่กับปัญหาเหล่านี้ ต้องอาศัยการระดมความสามารถของมนุษย์ ดังนั้น World Economic Forum 2020 ที่จัดขึ้นเมื่อ 20-23 ตุลาคม ที่ผ่านมา จึงมีหัวธีมงานประชุมว่า ‘The Jobs Reset Summit 2020’ เพื่อเน้นการแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์การพัฒนาเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิด-19

โดยมี “นพปฎล เดชอุดม” ประธานคณะผู้บริหารด้านความยั่งยืนองค์กร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด (ซีพี กรุ๊ป) ร่วมเวทีเสวนาออนไลน์ในหัวข้อ A New Development Agenda: Leapfrogging Out of the Pandemic Economy

“นพปฎล” ตัวแทนภาคธุรกิจเอกชนร่วมหารือกับผู้บริหาร นักวิชาการ นักลงทุนจากองค์กรชั้นนำอีก 3 คน ได้แก่ “ฟาตูมาตา บา” ผู้ก่อตั้งและประธาน Janngo กองทุนส่งเสริมธุรกิจสตาร์ทอัพในทวีปแอฟริกา, “อัลเฟรด ฮานนิก” ผู้อำนวยการบริหาร Alliance for Financial Inclusion องค์กรพัฒนาภาคเอกชนที่ส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงิน และ “เดโบรา รีโวเทลญ่า” นักเศรษฐศาสตร์ประจำธนาคารเพื่อการลงทุนแห่งสหภาพยุโรป ดำเนินรายการโดย “ศ.เอียน โกลดิน” นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์และการพัฒนาจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด สหราชอาณาจักร

“นพปฎล” นำเสนอบทบาทของเครือเจริญโภคภัณฑ์ในการร่วมมือกับภาครัฐและภาคประชาสังคมช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 สอดคล้องกับหลักการ 3 ประโยชน์ของเครือฯ ที่มุ่งเน้นการสร้างประโยชน์ต่อประเทศชาติ ประโยชน์ต่อสังคมและชุมชน และประโยชน์ทางธุรกิจ โดยกล่าวว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์ช่วยรักษาตำแหน่งงานในทุกกลุ่มธุรกิจทั่วโลกและจ้างงานเพิ่ม 28,000 ตำแหน่ง สนับสนุนอาหารให้แก่ผู้กักตัวและบุคลากรทางการแพทย์ และสร้างโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยสำหรับผู้ให้บริการด้านสาธารณสุข

“สหประชาชาติประเมินว่าเราต้องลงทุนเพื่อฟื้นฟูรักษาสิ่งแวดล้อม และสร้างความแข็งแกร่งของสังคมและเศรษฐกิจ ประมาณ 3.3 ถึง 4.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐต่อปี เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนภายในปี 2030 ซึ่งการลงทุนขนาดนี้ต้องอาศัยทรัพยากร ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญจากทุกภาคส่วน เพื่อช่วยกันแบ่งปันความเสี่ยง”

ในโลกที่มีความซับซ้อนมากขึ้น การดำเนินโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในลักษณะกิจกรรมหรือโครงการเดี่ยว อาจไม่เพียงพอ เราจะต้องมุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง หรือการพัฒนาระบบนิเวศ (ecosystem) ที่เหมาะสมให้มากขึ้น

นอกจากนั้น “นพปฎล” ยกตัวอย่างสงครามโลก ที่ธุรกิจเอกชนทั้งระบบเศรษฐกิจระดมสรรพกำลังผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อเตรียมพร้อมต่อสู้สงคราม มาเปรียบเทียบกับวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 ในปัจจุบัน ว่า ทั้งโลกต้องรวมกำลังกันระดมทรัพยากรและเทคโนโลยีเพื่อต่อสู้กับเชื้อไวรัส รวมถึงร่วมมือกันแก้ไขปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม เช่น ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ปัญหาความขัดแย้งทั้งในระดับสังคมและระหว่างประเทศ

“โควิด-19 นับเป็นภัยคุกคามความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษยชาติไม่ยิ่งหย่อนกว่าภัยสงคราม”

ซึ่ง “ศ.เอียน” แสดงความเห็นด้วยและกล่าวถึงความหวังว่า “โลกจะเรียนรู้บทเรียนจากวิกฤตโควิด-19 เหมือนกับที่เรียนรู้ผลร้ายของสงครามจากสงครามโลกครั้งที่สอง จนนำไปสู่ความพยายามสร้างกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อลดข้อขัดแย้งและส่งเสริมสันติภาพและการพัฒนาร่วมกัน”

นอกจากนี้ ผู้ร่วมเสวนาคนอื่น ๆ ได้ให้มุมมองที่น่าสนใจต่อการพัฒนาเศรษฐกิจโลกหลังโควิด โดย “เดโบรา” ยกตัวอย่างการลงทุนที่เน้นผลลัพธ์ทางสังคมและสิ่งแวดล้อม (impact investment) และการสร้างงานเพื่อรองรับโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วในยุโรป

“ฟาตูมาตา” กล่าวถึงศักยภาพของอีคอมเมิร์ซที่จะช่วยสร้างงานและเพิ่มรายได้แก่ประเทศกำลังพัฒนาในแอฟริกา และบทบาทของสตรีในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่น

และ “อัลเฟรด” เน้นย้ำความสำคัญของบทบาทสตรี โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา ที่มีทักษะในการทำธุรกิจแต่ยังขาดโอกาสและแหล่งเงินทุนที่เข้าถึงได้ง่าย และผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ ๆ เช่น บัญชีออมทรัพย์ และสินเชื่อที่เชื่อมกับบริการโทรศัพท์มือถือ

นับว่าผู้เข้าร่วมเสวนาซึ่งเป็นตัวแทนจากหลายประเทศต่างเล็งเห็นถึงความท้าทายของโลก และความจำเป็นที่ต้องมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนหรือ SDGs ในปี 2030 ในขณะที่ยังต้องจัดการบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตโรคระบาดโควิด-19