สรัญ ลิ้มสวัสดิ์วงศ์ แชร์ประสบการณ์พิชิตมะเร็ง-วิ่งมาราธอน-แข่งไอรอนแมน

แม้จะรู้กันมาเนิ่นนานแล้วว่าการออกกำลังกายมีผลดีต่อสุขภาพ แต่ปัญหาของหลายคนคือ จะทำยังไงให้ตัวเองยอมลุกออกจากเตียงหรือเก้าอี้ออกไปออกกำลังกาย หลายคนต้องอาศัยการกระตุ้น อาศัยแรงบันดาลใจ หรือต้องให้มีจุดเปลี่ยนในชีวิต จึงจะมีแรงฮึด และเมื่อฮึดขึ้นมา ถึงได้รู้ตัวว่าตัวเองมีศักยภาพมากกว่าที่เคยคิด

หนึ่ง-สรัญ ลิ้มสวัสดิ์วงศ์ ผู้บริหารโรงแรม S31 นักธุรกิจผู้พลิกชีวิตจากการป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาว ไปสู่การวิ่งมาราธอนรายการเมเจอร์ของโลก และแข่งขันไตรกีฬา “ไอรอนแมน” ได้ร่วมแชร์ประสบการณ์ในแคมเปญ “ที่สุดของประสบการณ์ ก้าวข้ามขีดจำกัด The Ultimate Experience to Break Limits” ของสปอร์ต รีโวลูชั่น กับบัตรเครดิตเคทีซี

สรัญเล่าว่า เมื่อ 8 ปีที่แล้ว เขาป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือลูคีเมีย ใช้เวลารักษารับเคมีบำบัดอยู่ 6 เดือน ซึ่งในช่วง 6 เดือนนั้นยังใช้ชีวิตปกติ ยังทำงานปกติ เพราะถ้าแสดงออกว่าอ่อนแอ ครอบครัวก็จะอ่อนแอและป่วยไปด้วย

ประมาณปีกว่าหลังจากรักษาครบตามกระบวนการ เขาก็เริ่มออกกำลังกาย โดยเริ่มจากลองหลาย ๆ อย่าง เพื่อหาว่าตัวเองชอบการออกกำลังกายแบบไหน และแบบไหนที่หมอบอกว่าดี

“จุดที่ทำให้คิดว่าต้องออกกำลังกายจริงจัง คือตอนที่ป่วย เพราะคิดว่าขนาดตอนอายุ 30 กว่า เราออกกำลังกายแบบคนทั่วไป ก็คิดว่าพอแล้ว เราคิดว่าเราร่างกายแข็งแรง แต่เรายังป่วยได้ ฉะนั้นถ้าเราไม่อยากป่วยอีก เราต้องแข็งแรงกว่าตอนนั้น ก็เลยเริ่มออกกำลังกาย จนมาสองสามปีนี้ พี่ทนงศักดิ์ ศุภการ (นักแสดง) เป็นคนชวนให้วิ่งจริงจัง เริ่มจากวิ่งที่สวนลุม รอบแรกก็เดิน ช่วงที่เริ่มรู้สึกว่ายาก วิ่ง 10 กิโลเมตร รู้สึกว่าเนื้อยเหนื่อย ไกล๊ไกล แต่ถ้าเราวิ่งกับเพื่อน ชวนกันคุยไป หรือว่าเราวิ่งซ้อม ตั้งใจแบ่งเป็นเซต มันก็ง่ายขึ้น”

ส่วนเรื่องที่เคยป่วยเป็นมะเร็งนั้น เขาบอกว่า “ที่เคยเจ็บป่วยไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไร แต่ว่าจากการที่เราร่างกายอ่อนแอ อาจจะเหนื่อยง่ายกว่าคนที่แข็งแรง ก็ต้องค่อย ๆ สร้าง คนอื่นอาจจะฟิตขึ้นมาเลยในเวลา 6 เดือน แต่เราใช้เวลามากกว่าเขา หรืออาจจะต้องฝึกมากกว่าเขา”

หลังจากที่เริ่มวิ่งจริงจังได้ 1 ปี เขาก็ลงวิ่งฟูลมาราธอน พอวิ่งได้เป็นที่น่าพอใจ เห็นว่ามีรายการวิ่งในต่างประเทศที่น่าสนใจ ก็เริ่มออกไปต่างประเทศ และตั้งเป้าจะวิ่งให้ครบ 6 รายการเมเจอร์ของการวิ่งมาราธอน ซึ่งตอนนี้เก็บได้แล้ว 3 รายการ คือ โตเกียวมาราธอน นิวยอร์กมาราธอน เบอร์ลินมาราธอน และปีนี้จะไปชิคาโกมาราธอน ก็จะเหลือบอสตันมาราธอน และลอนดอนมาราธอน

สรัญบอกว่า สำหรับเขาแล้วการวิ่งมาราธอนในประเทศ กับการไปรายการใหญ่ ๆ ที่ต่างประเทศ ความยากไม่ต่างกัน เพราะระยะทางเท่ากัน แต่อากาศเมืองหนาวมีผลนิดหน่อย เนื่องจากเมืองไทยเป็นเมืองร้อน ทำให้ไม่คุ้นชินกับอากาศหนาว และมีเรื่องไทม์โซนที่ต้องเผื่อเวลาไปปรับตัวก่อน

“เวลาปล่อยสตาร์ตที่นิวยอร์ก มันคือเวลา 5 ทุ่มของเมืองไทย เวลาที่วิ่งมันเป็นเวลาที่เราง่วงนอน วิ่งไปสักพักก็ง่วง ผมไปเตรียมตัวก่อน 4-5 วัน แต่ก็ยังง่วง”

นอกจากวิ่งมาราธอนแล้ว เขาได้พิสูจน์ความแกร่งของร่างกายในการแข่งไตรกีฬาด้วย โดยเริ่มจากระยะฮาล์ฟก่อน และเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เขาลงแข่งไตรกีฬาระยะเต็มครั้งแรกที่ออสเตรเลีย แต่ไม่ได้ว่ายน้ำ เพราะตอนนั้นในทะเลมีฉลาม เขาจึงตั้งเป้าว่าอยากไปแข่งไอรอนแมนอีก และอยากทำให้ครบทั้งว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน และวิ่ง

“เริ่มจากไม่ตั้งเป้า พอวิ่งไปสักพัก เริ่มคิดอยากวิ่งทำเวลาให้มีเร็กคอร์ดสักครั้ง แต่การจะทำมันต้องใช้เวลา ต้องบริหารจัดการชีวิต ซ้อมตามแผนที่วางไว้ ที่ออกไปวิ่งรายการเมเจอร์ 3 รายการ เวลาก็ลดลงเรื่อย ๆ เรารู้เลยว่าทุกอย่างมันอยู่ภายใต้การควบคุมของเรา พอถึง 100 เมตรสุดท้าย เป็น 100 เมตรแห่งการเซเลเบรตรู้สึกเหมือนบินได้ รู้สึกว่านี่คือถนนของเรา เรายิ้มแย้มแจ่มใส ไม่อิดโรย เข้าเส้นชัยด้วยความภาคภูมิใจ” เขาแชร์ประสบการณ์ก้าวข้ามขีดจำกัดของร่างกาย