ในหลวง-พระราชินี เสด็จฯ ถวายสักการะพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุ 26 ก.พ.นี้

กระทรวงวัฒนธรรมอัญเชิญจากอินเดียมาประดิษฐานที่ประเทศไทยเป็นการชั่วคราว ระหว่างวันที่ 22 ก.พ. ถึง 19 มี.ค. 2567

ในหลวง-พระราชินี เสด็จฯ ถวายสักการะพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ วันที่ 26 ก.พ.นี้ กระทรวงวัฒนธรรมอัญเชิญจากอินเดียมาประดิษฐานที่ประเทศไทยเป็นการชั่วคราว ระหว่างวันที่ 22 ก.พ. ถึง 19 มี.ค. 2567 ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง กรุงเทพมหานคร จังหวัดเชียงใหม่ อุบลราชธานี และกระบี่ เพื่อเฉลิมพระเกียรติในโอกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ พร้อมให้ประชาชนสักการะ

วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) พร้อมด้วย  H.E. Mr. Nagesh Singh เอกอัครราชทูตอินเดีย ประจำประเทศไทย และนายสุภชัย วีระภุชงค์ เลขาธิการสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 พร้อมนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัด วธ. และนายชัยพล สุขเอี่ยม อธิบดีกรมการศาสนา แถลงข่าวพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ จากสาธารณรัฐอินเดีย มาประดิษฐานเป็นการชั่วคราว ณ ประเทศไทย

โดยนายเสริมศักดิ์กล่าวว่า การอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ จากสาธารณรัฐอินเดียมาประดิษฐานเป็นการชั่วคราว ณ ประเทศไทยครั้งนี้ เป็นความร่วมมือของหลายฝ่าย

ในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 เป็นโอกาสอันดีที่จะได้อัญเชิญ  พระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ มาให้ประชาชนได้สักการะ  ตามโครงการธรรมยาตราพระบรมสารีริกธาตุจากมหานทีคงคาสู่ลุ่มน้ำโขง จากสาธารณรัฐอินเดีย มาประดิษฐานเป็นการชั่วคราว ณ ประเทศไทย ระหว่างวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ถึง 19 มีนาคม 2567 ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวงกรุงเทพมหานคร จังหวัดเชียงใหม่ อุบลราชธานี และกระบี่

กระทรวงวัฒนธรรมอัญเชิญจากอินเดียมาประดิษฐานที่ประเทศไทยเป็นการชั่วคราว ระหว่างวันที่ 22 ก.พ. ถึง 19 มี.ค. 2567

การดำเนินการครั้งนี้ ถือเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสครบรอบ 72 พรรษา และถือเป็นบุญครั้งใหญ่ โดยประเทศไทยเคยอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ มาให้ประชาชนได้สักการะเมื่อ 122 ปีที่แล้ว แต่ไม่มีพระสารีริกธาตุของพระสาวก คือพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะมาด้วย

ดังนั้น จึงถือเป็นโอกาสดี โดยในการนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี จะเสด็จพระราชดำเนินไปในการถวายสักการะพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 09.00 น. นายเสริมศักดิ์กล่าว

นายเสริมศักดิ์กล่าวอีกว่า ขอเชิญชวนศาสนิกชนร่วมรับขบวนการอัญเชิญมาประดิษฐานเป็นการชั่วคราว ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ในส่วนกลาง วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 16.00 น. กระทรวงวัฒนธรรม ได้จัดริ้วขบวนอัญเชิญอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา

โดยจัดเป็นขบวนโคม ขบวนการแสดง 4 ภาค การแสดงกลุ่มชาติพันธุ์ การแสดงจากอินเดีย ขบวนธงชาติไทย ธงชาติอินเดีย ธงธรรมจักร และธงฉัพพรรณรังสี ขบวนโคมประทีปและโคมดอกบัว ขบวนรถมาฆบูชาประดิษฐานพระพุทธรูปปางแสดงโอวาทปาติโมกข์ รถบุปผชาติประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุ ขบวนเฉลิมพระเกียรติ และขบวนจิตอาสา เป็นต้น

จากนั้น เวลา 17.00 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานในมีพิธีเปิดงาน และพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ก่อนเปิดให้ประชาชนเข้าสักการบูชา ตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์-3 มีนาคม 2567 เวลา 09.00-20.00 น.

กระทรวงวัฒนธรรมอัญเชิญจากอินเดียมาประดิษฐานที่ประเทศไทยเป็นการชั่วคราว ระหว่างวันที่ 22 ก.พ. ถึง 19 มี.ค. 2567

ในส่วนภูมิภาค อัญเชิญไปประดิษฐานใน 3 จังหวัด ให้ประชาชนได้เข้าสักการบูชา ภาคเหนือ ระหว่างวันที่ 5-8 มีนาคม 2567 เวลา 09.00-20.00 น. ณ หอคำหลวง อุทยานหลวงราชพฤกษ์ จังหวัดเชียงใหม่

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างวันที่ 10-13 มีนาคม เวลา 09.00-20.00 น. ณ วัดมหาวนาราม จังหวัดอุบลราชธานี

ภาคใต้ ระหว่างวันที่ 15-18 มีนาคม 2567 เวลา 09.00-20.00 น. ณ วัดมหาธาตุวชิรมงคล จังหวัดกระบี่

โดยในทุกวันตั้งแต่เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป จะจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์เสริมสิริมงคลให้กับศาสนิกชนที่เข้ากราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ โดยแต่ละพื้นที่จะมีพิธีเจริญพระพุทธมนต์ตามอัตลักษณ์ของแต่ละพื้นที่อย่างยิ่งใหญ่

นอกจากนี้ยังมีการจัดนิทรรศการ “การอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ จากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอินเดียมาประดิษฐานเป็นการชั่วคราว ณ ประเทศไทย เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม เพื่อหลอมรวมพลังศรัทธาของศาสนิกชนชาวไทยทั่วโลก ซึ่งถูกรังสรรค์ขึ้นมาเพื่อให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องต่อพระพุทธศาสนา บริเวณมณฑลพิธีท้องสนามหลวง

แบ่งเป็นส่วนการจัดแสดงนิทรรศการความเป็นมาของพระบรมสารีริกธาตุ, การค้นพบพระบรมสารีริกธาตุ ณ เมืองปิปราห์วา รัฐอุตตรประเทศ สาธารณรัฐอินเดีย, สังเวชนียสถาน 4 ตำบล, การบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ  ณ บรมบรรพต วัดสระเกศ และข้อมูลเกี่ยวกับพระธาตุที่นำมาจัดแสดงในประเทศไทย รวมถึงนิทรรศการเกี่ยวกับพุทธประวัติจากประเทศอินเดีย และส่วนของการจัดกิจกรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันมาฆบูชา พ.ศ. 2567 ระหว่างวันที่ 24-26 กุมภาพันธ์

รวมถึงมีการเปิดศูนย์สร้างสรรค์กิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม ชมสาธิตการบรรยายธรรม กิจกรรมธรรมะบันเทิง โดยพระธรรมวิทยากรเครือข่ายธรรมะอารมณ์ดี การสาธิตผลิตภัณฑ์ชุมชนคุณธรรม ชมสินค้าของดี เขตกรุงเทพมหานคร สวดเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตภาวนา การแสดงศิลปวัฒนธรรมไทย และการแสดงภาพยนตร์ส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมอีกด้วย

กระทรวงวัฒนธรรมอัญเชิญจากอินเดียมาประดิษฐานที่ประเทศไทยเป็นการชั่วคราว ระหว่างวันที่ 22 ก.พ. ถึง 19 มี.ค. 2567

นายนาเคศ สิงห์ เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย กล่าวว่า รัฐบาลอินเดียยินดีที่ได้มีโอกาสเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบวันที่ 28 กรกฎาคม 2567 ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ

ซึ่งการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุครั้งนี้ แสดงถึงไมตรีจิตรร่วมถวายพระพรในโอกาสสำคัญ เป็นการเชื่อมสัมพันธ์ดีที่มีนานนับพันปี นับเป็นครั้งแรกหลังพุทธกาล ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จมาประทับร่วมกับองค์พระอัครสาวกเอกเบื้องซ้ายและเบื้องขวาในรอบ 2567 ปี ในโอกาสวันมาฆบูชา เป็นการเฉลิมฉลองวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาในประเทศไทยครั้งประวัติศาสตร์

การมาเยือนขององค์พระธาตุศักดิ์สิทธิ์ในครั้งนี้ ไม่บ่อยนักที่จะนำออกนอกประเทศ รัฐบาลอินเดียนำโดยนายกรัฐมนตรีนเรนทระ โมที ได้ตกลงที่จะส่งพระบรมสารีริกธาตุมายังประเทศไทย โดยคำนึงถึงความสำคัญสูงสุดในการเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเพื่อความสัมพันธ์อันใกล้ชิดดั่งญาติมิตรของระหว่างสองประเทศ

นอกจากนี้ชาวอินเดียที่อาศัยอยู่ในประเทศได้กระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นในการมีส่วนร่วมในทางธุรกิจ การเมือง การศึกษา และวัฒนธรรม ซอฟต์พาวเวอร์ ของประเทศไทย และเชื่อมั่นว่าจะเป็นจุดหมายสำคัญทางประวัติศาสตร์ในความสัมพันธ์ทวิภาคีอินเดีย-ไทย นายนาเคศ สิงห์ กล่าว

กระทรวงวัฒนธรรมอัญเชิญจากอินเดียมาประดิษฐานที่ประเทศไทยเป็นการชั่วคราว ระหว่างวันที่ 22 ก.พ. ถึง 19 มี.ค. 2567

ดร.สุภชัย วีระภุชงค์ เลขาธิการสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 กล่าวว่า งานมหามงคลนี้เกิดขึ้นจากสามัคคีธรรมของทุกฝ่าย ในการเชื่อมต่อพลังศรัทธาประชาชน 2 ภูมิภาคจากลุ่มแม่น้ำคงคา คือ สาธารณรัฐอินเดีย ถิ่นกำเนิดพระพุทธศาสนา สู่ลุ่มแม่น้ำโขง คือ ไทย กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ซึ่งเป็นดินแดนพระพุทธศาสนาประดิษฐานอยู่อย่างมั่นคง

โดยมีต้นทางคือสถาบันโพธิคยาฯ จัดโครงการธรรมยาตราพระบรมสารีริกธาตุ มหานทีคงคา ลุ่มน้ำโขง ขึ้น มีรัฐบาลไทยโดย วธ. กรมการศาสนา เป็นผู้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ พร้อมพระอรหันตธาตุพระอัครสาวก พระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ มีผู้แทนระดับสูงจากรัฐบาลอินเดียเป็นผู้อัญเชิญมา ด้วยการประสานงานจากสถานทูตอินเดียประจำประเทศไทยอย่างใกล้ชิด

จึงควรถือโอกาสนี้นำธรรมวิชัยจากแดนพุทธภูมิมาสร้างศาสนาธรรมให้ปักหลักมั่นคง ด้วยการนำคำสอนขององค์พระศาสดาซึ่งคือปริยัติธรรม นำมาปฏิบัติ เพื่อให้เกิดปฏิเวธธรรม มีความเข้าใจและเข้าถึงธรรมะได้จนสามารถยกระดับจิตใจให้ทุกคนในแผ่นดินลุ่มน้ำโขงได้มีความสุขกับการใช้ชีวิตต่อไปโดย ไม่เบียดเบียนกัน รู้จักคำว่าอภัยและรับรู้ลมหายใจให้มากที่สุด เพื่อสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงธรรมะให้เกิดขึ้น เพื่อสืบทอดความรัก ความสามัคคี และสร้างสันติสุขโดยธรรมให้เกิดขึ้น

กระทรวงวัฒนธรรมอัญเชิญจากอินเดียมาประดิษฐานที่ประเทศไทยเป็นการชั่วคราว ระหว่างวันที่ 22 ก.พ. ถึง 19 มี.ค. 2567