
อัครา รีซอร์สเซส เตรียมเปิด “เหมืองทองอัครา” ต้นปี 2566 ทุ่ม 500 ล้านบาท เร่งปรับปรุงเครื่องจักรและโรงประกอบโลหกรรมภายในเหมืองใหม่หมด ลุยนโยบาย “สร้างงาน สร้างอาชีพให้ชุมชน” ประกาศรับสมัครพนักงานกำลังสำคัญของเหมือง 160 อัตรา ขยายเป็น 1,000 อัตราในเฟส 2 มั่นใจทำเงินหมุนในเศรษฐกิจท้องถิ่นปีละกว่า 3,000 ล้านบาท
วันที่ 11 พฤศจิกายน 2565 นายวรงค์ สราญฤทธิชัย ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายบริหารองค์กร บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) (อัครา) เปิดเผยถึงความคืบหน้าของการซ่อมแซมเครื่องจักรและโรงประกอบโลหกรรมครั้งใหญ่ รวมถึงอาคารสถานที่สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ภายในเหมืองที่ใช้ทุนประมาณ 500 ล้านบาท ว่าปัจจุบันดำเนินการเสร็จสิ้นไปแล้ว 75% เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงสิ้นปี 2565
- เตือน 10 จังหวัด เตรียมพร้อมยกของขึ้นที่สูง รับมือสถานการณ์น้ำ
- ส่องประวัติ ไทยน้ำทิพย์-หาดทิพย์ ผู้ขายโค้กในไทย ทำไมรายได้ต่างกัน
- กองทุนชราภาพ เป็นสิ่งที่คนมีประกันสังคมควรรู้จัก

ทั้งนี้ ก่อนเปิดการทำเหมือง บริษัทต้องแจ้งเป็นหนังสือให้หน่วยงานรัฐที่เป็นผู้กำกับดูแลทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 15 วัน และต้องนําพนักงานเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ โดยหลังจากได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากหน่วยงานรัฐที่เป็นผู้กำกับดูแลแล้ว จึงจะสามารถเริ่มดําเนินการทําเหมืองได้
นอกจากนี้ บริษัทต้องวางหลักประกันการฟื้นฟูการทำเหมือง และจัดทำประกันภัยความรับผิดต่อชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สินของบุคคลภายนอก ตามที่กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการบริหารจัดการกองทุนต่าง ๆ ไว้ดังนี้
1.กองทุนฟื้นฟูพื้นที่เหมืองแร่-บริษัทต้องจ่ายเงินสมทบในอัตรา 10% ของค่าภาคหลวงแร่ที่บริษัทชำระในแต่ละปี แต่ต้องไม่น้อยกว่า 30 ล้านบาทต่อปี ตลอดระยะเวลาที่มีการประกอบการ
2.กองทุนเฝ้าระวังสุขภาพ-บริษัทต้องจ่ายเงินสมทบในอัตรา 3% ของค่าภาคหลวงแร่ที่บริษัทชำระในแต่ละปี แต่ต้องไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาทต่อปี ตลอดระยะเวลาที่มีการประกอบการ
3.กองทุนประกันความเสี่ยง-บริษัทต้องจ่ายเงินสมทบในอัตรา 3% ของค่าภาคหลวงแร่ที่บริษัทชำระในแต่ละปี แต่ต้องไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาทต่อปี ตลอดระยะเวลาที่มีการประกอบการ
4.กองทุนพัฒนาหมู่บ้านรอบพื้นที่เหมืองแร่-บริษัทต้องจ่ายเงินสมทบในอัตรา 5% ของค่าภาคหลวงแร่ที่บริษัทชำระในแต่ละปี แต่ต้องไม่น้อยกว่า 15 ล้านบาทต่อปี ตลอดระยะเวลาที่มีการประกอบการ
และเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการกลับมาเปิดดำเนินกิจการ
บริษัทจึงได้เริ่มทยอยรับสมัครพนักงานเบื้องต้นประมาณ 160 อัตรา เพื่อรองรับแผนการดำเนินงานระยะแรกซึ่งจะใช้โรงประกอบโลหกรรมที่ 2 เพียงโรงเดียวเท่านั้น ซึ่งมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 2.7 ล้านตันต่อปี
โดยภายหลังที่บริษัทกลับมาดำเนินการไปแล้วสักระยะหนึ่ง จึงจะเริ่มซ่อมโรงประกอบโลหกรรมที่ 1 ซึ่งมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 2.3 ล้านตันต่อปี และเมื่อดำเนินการแล้วเสร็จจนสามารถกลับมาใช้งานได้แล้ว บริษัทจะรับพนักงานเพิ่มเพื่อรองรับปริมาณงานที่มากขึ้นต่อไป โดยรวมแล้วจะก่อให้เกิดการจ้างงานทั้งโดยตรงและผ่านผู้รับเหมาร่วม 1,000 อัตรา
ภายหลังจากที่บริษัทได้ประกาศเรื่องการรับสมัครพนักงาน ปรากฏว่าได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม มีประชาชนมาดาวน์โหลดและรับใบสมัครแล้วกว่า 1,000 ราย
“ผู้ที่มีคุณสมบัติที่บริษัทต้องการและภูมิลำเนาในพื้นที่จะได้รับการพิจารณาเป็นอันดับแรก เพราะเป็นนโยบายที่มีมาตั้งแต่ต้น บนความตั้งใจที่จะเติบโตไปพร้อมกันกับชุมชนอย่างยั่งยืน และขอขอบคุณผู้นำชุมชนและประชาชนรอบเหมืองสำหรับความเชื่อมั่นและการสนับสนุนในการกลับมาของบริษัท”
“ด้วยเชื่อว่าบริษัทจะเป็นส่วนสำคัญในการช่วยเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมทั้งระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ
ซึ่งจากสถิติที่ผ่านมา เมื่อเหมืองกลับมาดำเนินการได้อย่างเต็มกำลังแล้ว ก็จะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยปีละกว่า 3,000 ล้านบาท ผ่านการสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจในประเทศ การชำระค่าภาคหลวงและภาษี และการสร้างงาน”