สำนักงานอ้อยฯ เคาะราคาอ้อยขั้นสุดท้ายฤดู 64/65 ที่ 1,106.40 บาท/ตัน ชาวไร่ได้เพิ่มตันละ 36.4 บาท พร้อมลงดาบชาวไร่ 5 จังหวัด โคราช อุดรฯ กาฬสินธุ์ ขอนแก่น สุพรรณฯ และโรงงานน้ำตาลมิตรผล กลุ่มไทยรุ่งเรือง กลุ่มน้ำตาลขอนแก่น วังขนาย เอราวัณ หลังเพิกเฉยรับอ้อยเผาที่ลอบเผาสูงถึง 10 ล้านตัน หวั่น PM 2.5 เข้าขั้นวิกฤต
วันที่ 18 มกราคม 2566 นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาการเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 17 ม.ค. 2566 ที่ผ่านมา คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) ที่มีนายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธาน
ได้จัดการประชุมเพื่อขับเคลื่อนมาตรการต่าง ๆ ในการดูแลชาวไร่ ตลอดจนอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบ รวมทั้งเร่งเดินหน้าแก้ไขปัญหามลพิษ ด้านฝุ่นละอองของประเทศที่เกิดจากการเผาอ้อย
สำหรับวาระหลักในการประชุมนัดนี้คือ การกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิตปี 2564/2565 เฉลี่ยทั่วประเทศ ที่ราคา 1,106.40 บาท/ตันอ้อย ณ ระดับความหวานที่ 10 ซี.ซี.เอส. ซึ่งเพิ่มขึ้นจากราคาอ้อยขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2564/2565 ที่ราคา 1,070 บาท
โดยการกำหนดราคาดังกล่าวจะทำให้ชาวไร่อ้อยมีรายรับเพิ่มขึ้น 36.40 บาท/ตันอ้อย และผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายที่ราคา 474.17 บาท/ตันอ้อย
การที่ชาวไร่มีรายได้เพิ่มขึ้นสามารถเพิ่มกำลังซื้อในระบบ และกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้อีกทางหนึ่ง ส่วนการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิตปี 2565/2566 กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาจากทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ทั้งชาวไร่และโรงงาน เมื่อได้ตัวเลขแล้วจะมีขั้นตอนการรับฟังความเห็นผู้มีส่วนได้เสียและสรุปตัวเลขเสนอ กอน.ต่อไป
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุม กอน.ได้มีการเน้นย้ำถึงการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละอองของประเทศ ที่เกิดจากการเผาอ้อย โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.)ได้กำหนดเป้าหมายลดการเผาอ้อยในฤดูการผลิตปี 2565/2566 เป็น 0% โดยเน้นให้ชาวไร่และโรงงานน้ำตาลร่วมมือกับภาครัฐดำเนินการ
เพื่อคืนอากาศบริสุทธิ์ให้กับคนไทย ในช่วงที่ต้องเผชิญกับโควิด-19 และยังเป็นการหนุนภาคเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยว ที่ล่าสุดเพิ่มเป้านักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2566 เป็น 25 ล้านคน
อัพเดตล่าสุดตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2565-15 ม.ค. 2566 พบว่ามีปริมาณอ้อยเข้าหีบแล้วกว่า 32 ล้านตันอ้อย และในจำนวนนี้เป็นอ้อยที่ถูกลักลอบเผากว่า 9.2 ล้านตันอ้อย หรือคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 28.73%
“จากตัวเลขดังกล่าว โดยเฉพาะสัดส่วนการลักลอบเผาที่เพิ่มขึ้นนั้น ถือเป็นสถานการณ์ที่ค่อนข้างวิกฤต ทั้งสถานการณ์ด้านสภาพอากาศที่ได้รับผลกระทบจากการเผาไหม้ กระทบกับสุขภาพประชาชนและภาคการท่องเที่ยวโดยตรง และยังเป็นตัวเลขที่สะท้อนอย่างชัดเจนว่า มีชาวไร่และโรงงานน้ำตาลจำนวนหนึ่งที่ไม่ให้ความร่วมมือในการดูแลสุขภาพคนไทย
ดังนั้น กระทรวงอุตสาหกรรมจะร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดำเนินการกับเกษตรกรชาวไร่ที่ลักลอบเผา และโรงงานน้ำตาลที่สนับสนุนการเผา โดยไม่สนใจสุขภาพของประชาชนคนไทยทั้งประเทศ”
จากข้อมูลลักลอบเผาตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2565 ถึงวันที่ 15 ม.ค. 2566 ยังพบว่ามี 5 จังหวัดที่เผาอ้อยสูงสุด ดังนี้ นครราชสีมา 1.2 ล้านตัน อุดรธานี 0.78 ล้านตัน กาฬสินธุ์ 0.76 ล้านตัน ขอนแก่น 0.66 ล้านตัน และสุพรรณบุรี 0.57 ล้านตัน ตามลำดับ
ขณะที่ 5 กลุ่มบริษัทที่รับอ้อยเผามากสุด ดังนี้ กลุ่มบริษัทมิตรผล (7 โรง) 1.83 ล้านตัน กลุ่มบริษัทไทยรุ่งเรือง (10 โรง) 1.57 ล้านตัน กลุ่มบริษัทน้ำตาลขอนแก่น (5 โรง) 0.94 ล้านตัน กลุ่มบริษัทวังขนาย (4 โรง) 0.78 ล้านตัน และกลุ่มบริษัทเอราวัณ (2 โรง) 0.57 ล้านตัน ตามลำดับ