ให้ออกจากราชการ รัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อธิบดีกรมอุทยาน มีผล 3 ก.พ.

ให้ออก รัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา

ปกท.ทส. เผยความคืบหน้าการสอบวินัยร้ายแรง รัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อธิบดีกรมอุทยาน คาดไม่แล้วเสร็จโดยเร็ว และอาจเกิดการเสียหายแก่ราชการ จึงให้ออกจากราชการไว้ก่อน มีผล 3 ก.พ. 2566 รอผลการสอบวินัยต่อไป

วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566 นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปกท.ทส.) เผยถึงความคืบหน้าการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

กรณีถูกจับกุมและแจ้งข้อกล่าวหาจากพฤติการณ์เรียกรับเงินจากเจ้าหน้าที่ในสังกัดกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ว่า จากรายงานความก้าวหน้าการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงในเบื้องต้น

พบว่า ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อภาพพจน์ของข้าราชการ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงกระทบต่อความรู้สึก ความเชื่อถือศรัทธาของพี่น้องประชาชน

อีกทั้ง การพิจารณาพยานหลักฐานและการสอบสวนพยานบุคคลที่ถูกกล่าวหาอ้างถึง จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการสอบสวนเพื่อให้ครอบคลุมทุกข้อกล่าวหาและทุกประเด็น ซึ่งคาดว่าจะไม่แล้วเสร็จโดยเร็ว

ฝ่ายกฎหมายของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้พิจารณาแล้วเห็นว่า กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องที่ร้ายแรง มีผลกระทบต่อชื่อเสียงของหน่วยงาน และความเชื่อมั่นของประชาชนในการบริหารงานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก

หากจะให้นายรัชฎาอยู่ในหน้าที่ราชการต่อไป อาจเกิดการเสียหายแก่ราชการ ซึ่งเป็นเหตุให้พักงานได้ตามกฎ ก.พ. ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัย พ.ศ. 2556 ข้อ 78 (1) ประกอบกับพิจารณาแล้วว่า การสอบสวนในกรณีนี้จะไม่แล้วเสร็จโดยเร็ว

เนื่องจากคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง มีขั้นตอนที่ต้องดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนดอีกหลายขั้นตอน และมีพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก ตนจึงได้ออกคำสั่งให้นายรัชฎาออกจากราชการไว้ก่อน ตามกฎ ก.พ.ฯ ข้อ 83 โดยมีผลตั้งแต่วันนี้ (3 กุมภาพันธ์ 2566) เป็นต้นไป

ซึ่งขณะนี้ คณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง อยู่ระหว่างการรวบรวมเอกสารและพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การสรุปผลการสอบสวนวินัยร้ายแรงเป็นไปอย่างยุติธรรม และเกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย

ซึ่งการลงนามในคำสั่งให้นายรัชฎาออกจากราชการไว้ก่อนในครั้งนี้ เป็นไปตามกฎ ก.พ.ฯ อีกทั้งเพื่อให้สาธารณชนได้รับทราบถึงความคืบหน้าของการสอบสวนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคลายกังวลต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น