จุรินทร์-สนธิรัตน์-สุดารัตน์ ตอบข้อซักถามเอกชน แก้เศรษฐกิจไทย

จุรินทร์-สนธิรัตน์-สุดารัตน์

จุรินทร์-สนธิรัตน์-สุดารัตน์ ตอบข้อซักถามภาคเอกชนในมุมมองนโยบายและการแก้ไขเศรษฐกิจของประเทศ หากได้ขึ้นเป็นรัฐบาลในปี 2566 นี้ พร้อมเดินหน้านโยบาย และทำงานร่วมกับเอกชนทันที

วันที่ 30 มีนาคม 2566 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในระหว่างเวทีตอบข้อซักถาม “มุมมองของภาคธุรกิจต่อนโยบายขับเคลื่อนประเทศ” ในหัวข้อ “วิธีการขับเคลื่อนนโยบายพรรคการเมืองในเรื่องต่าง ๆ ที่ภาคประชาชนและภาคเอกชนให้ความสนใจว่า เมื่อพรรคได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล หรือพรรคได้เป็นรัฐบาล ผมได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ผมพร้อมขอโอกาสที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาผมได้ทำงานกับภาคเอกชนและสร้างกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจร่วมกัน

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

หากได้มีการเดินหน้าก็พร้อมที่จะผลักดัน กรอ.ให้มีบทบาทมากขึ้น เพื่อที่จะขับเคลื่อนประเทศให้มีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งจะสร้างเงิน คือสร้างคนไทยให้มีรายได้ ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะการนำเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจ หลังจากโควิดที่ผ่านมาทำให้เม็ดเงินหายออกจากระบบถึง 1 ล้านล้านบาท เราพร้อมที่จะสร้างเม็ดเงินเหล่านั้นกลับมาสู่ระบบเศรษฐกิจ เพื่อให้เศรษฐกิจมีการเติบโต

สร้างคนคือ สร้างการศึกษา สาธารณสุขให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมทั้งการใช้ตลาดนำการผลิตเข้ามาช่วยผลักดันสร้างมูลค่ารายได้ให้กับประเทศ สร้างชาติคือ สร้างประเทศไปสู่ประชาธิปไตยอย่างมั่นคง

ส่วนประเด็นตอบข้อซักถาม ด้านการค้าชายแดน เป็นแหล่งรายได้ของประเทศ แม้ปัจจุบันจะมีการเปิดด่านและเพิ่มมูลค่าการค้าชายแดน แต่ก็มองว่ายังไม่เพียงพอ

โดยเพิ่มเครื่องมือเขตเศรษฐกิจค้าชายแดนระดับจังหวัด เพิ่มสิทธิประโยชน์ ลดต้นทุน การส่งเสริมให้แรงงานสามารถไป-กลับในการเข้ามาทำงานได้ เพื่อลดปัญหาค่าแรง สวัสดิการ เพื่อให้เกิดประโยชน์ ส่วนการเพิ่มด่าน มูลค่า เห็นด้วย และพร้อมร่วมมือกับเอกชนเต็มที่ และนำมาทำให้เกิดการเข้มข้น การนำเงินบาทมาใช้ในระบบค้าชายแดน เพิ่มเส้นทางคมนาคมให้อำนวยความสะดวกมากขึ้น

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมืองพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า หากพรรคได้เป็นรัฐบาล ภายใต้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พรรคพร้อมที่จะเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในอันดับต่ำที่สุด อันดับที่ 33 ในรอบ 10 ปี ในขณะที่ปี 2562 ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 25 ซึ่งเราพร้อมที่จะเพิ่มขีดความสามารถและศักยภาพของประเทศไทยให้แข่งขันในระดับโลกได้

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมืองพรรคพลังประชารัฐ

พร้อมทั้งยกระดับประเทศไปสู่เทคโนโลยี เพิ่มศักยภาพของภาคธุรกิจ ยกระดับสินค้าเกษตร ส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ผลักดันการลงทุน ก่อให้เกิดประโยชน์ เชื่อมต่อระเบียงเศรษฐกิจ ทั้งภาคใต้ ตะวันตก เหนือให้เกิดการเชื่อมโยง “เรามีความพร้อมด้านบุคลากรที่จะเข้าไปแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ”

ส่วนในประเด็นข้อซักถาม ประเด็นเกษตรกรรม ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศภาคการเกษตร และยังคงเจอปัญหาทั้งในเรื่องของแรงงานและมูลค่าของสินค้า ปัจจุบันเรายังขายสินค้าเป็นคอมมิวนิตี้ สินค้าพื้นฐาน โดยเรามีเป้าหมายที่จะยกระดับสินค้าและเพิ่มมูลค่า

พร้อมทั้งสร้างจุดแข็งให้กับสินค้าเกษตร ในการส่งเสริมและวิจัยพัฒนาสินค้า ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานงานกันมากขึ้น นำสินค้าไปสู่ครัวของโลกสร้างแพลตฟอร์มที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคทั่วโลกที่เป็นของไทยเอง เพื่อเพิ่มช่องทางและสร้างรายได้ให้กับภาคเกษตรกร

พร้อมทั้งนำสินค้าพลังงานอย่างอ้อย ปาล์มน้ำมัน เข้าสู่อุตสาหกรรมพลังงานโดยเฉพาะน้ำมันเครื่องบินหรือไบโอเจ็ต ซึ่งต้องมองข้ามบี 10 บี 100 ปัจจุบันไบโอเจ็ตกำลังเป็นที่ต้องการ และทำอย่างไรเพื่อสร้างโอกาสและเพิ่มมูลค่าได้ พร้อมกันนี้การส่งเสริมคาร์บอนเครดิตเพื่อเพิ่มรายได้ก็เป็นเป้าหมายสำคัญของการสร้างรายได้ให้กับประเทศด้วย

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย กล่าวว่า เรามีแผนยุทธศาสตร์แห่งชาติ ที่มองว่าควรจะยกเลิกไม่ควรที่จะไปอยู่ในรัฐธรรมนูญ โดยเราพร้อมที่จะมีการปรับยุทธศาสตร์ให้มีความสอดคล้องความต้องการของประเทศมากขึ้น

ขณะที่ประเทศไทย เศรษฐกิจยังโตช้า 2-3% ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจไปแล้ว 5-8% หนี้สินภาคครัวเรือนพุ่งสูงขึ้น ความเหลื่อมล้ำของประเทศ คอร์รัปชั่นมีเพิ่มขึ้นซึ่งเป็นปัญหาที่จะต้องแก้ไข

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย

นอกจากนี้ เรายังมีนโยบายที่จะแขวนใบอนุญาตกว่า 1,400 ฉบับ พร้อมทั้งที่จะเติมทุนตั้งกองทุนเพื่อเอกชน โดยให้เอกชนเป็นผู้บริหาร ส่งเสริมให้กับเอสเอ็มอีของประเทศไทยซึ่งมีกว่า 3 ล้านราย

ขณะที่เอสเอ็มอีที่เข้าถึงแหล่งเงินทุนมีเพียง 4 แสนราย อีกทั้งเรายังมีเป้าหมายที่จะไม่ให้ค่าไฟเกิน 3.50 บาทต่อหน่วย พร้อมทั้งเร่งเจรจาเอฟทีเออีก 6 ฉบับ สร้างโอกาสโลกยุคใหม่ โดยเราจะเป็นพันธมิตรเชื่อมสัมพันธ์กับจีนและอินเดีย พร้อมกันนี้ หากพรรคได้ขึ้นเป็นรัฐบาลเราจะไปพบกับนายกฯจีนและอินเดียเป็นประเทศแรก

ส่วนในประเด็นตอบปัญหาการท่องเที่ยวไทย โดยการแก้ไขปัญหาและส่งเสริมภาคการท่องเที่ยว มองว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกฝ่ายจะต้องมีส่วนร่วมในการยกระดับเพื่อส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวไปสู่อำเภอ ตำบล หมู่บ้านให้มากขึ้น พร้อมทั้งดึงกิจกรรมระดับโลกเข้ามาสู่ประเทศซึ่งหากนำบิ๊กอีเวนต์ใหญ่ ๆ เข้ามาได้จะสร้างรายได้และการท่องเที่ยวของไทยให้มีการเติบโต ซึ่งเป้าหมายที่เรามองไว้จะสร้างรายได้อยู่ที่ 2.5 ล้านล้านบาทต่อปี

ตอบข้อซักถามเอกชน แก้เศรษฐกิจไทย

ตอบข้อซักถามเอกชน แก้เศรษฐกิจไทย