เวียดนามไฟเขียว อนุมัตินำเข้าโคกระบือจากไทย หลังหารือยาวนาน 6 เดือน

กรมปศุสัตว์ปลื้ม เวียดนามไฟเขียวอนุมัตินำเข้าโคกระบือส่งออกจากไทย หลังหารือยาวนาน 6 เดือน ประเดิมลอตแรก 14 ฟาร์ม 7,000 ตัว มูลค่ากว่า 295 ล้านบาท

วันที่ 30 มิถุนายน 2566 นายสัตวแพทย์โสภัชย์ ชวาลกุล รองอธิบดีและโฆษกกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2566 กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับแจ้งจากฝ่ายเวียดนาม อนุมัติให้ฟาร์มโคกระบือของไทยที่ได้แจ้งความประสงค์จะส่งออกโคกระบือมีชีวิตเพื่อการบริโภค สามารถส่งออกจากไทยไปยังเวียดนาม จำนวน 14 ฟาร์ม จำนวน 7,000 ตัว ประมาณมูลค่ากว่า 295 ล้านบาท โดยประกาศดังกล่าวมีผลตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2566 ถึง 23 กันยายน 2566 ซึ่งนับว่าเป็นข่าวดีต่อเกษตรกรไทยที่สามารถขยายตลาดการส่งออกโคกระบือมีชีวิตไปยังต่างประเทศ และสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศไทย

“เป็นเวลากว่า 6 เดือน นับตั้งแต่เจ้าหน้าที่กรมสุขภาพสัตว์ กระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบท สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามเข้าศึกษาดูงานด้านโคเนื้อภายในประเทศไทยในช่วงปลายปี 2565 เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการนำเข้าโคกระบือมีชีวิตจากไทยไปยังเวียดนาม และหน่วยงานภาครัฐของไทยและเวียดนาม ได้มีการหารือและแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านสุขอนามัยพืชและสัตว์ รวมถึงขั้นตอนการกักกันสัตว์ การตรวจโรค และการรับรองสุขภาพสัตว์ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล”

นายสัตวแพทย์โสภัชย์ ชวาลกุล

สำหรับเงื่อนไขการส่งออกโคและกระบือมีชีวิตไปยังเวียดนาม ประกอบด้วย

1.ต้องเป็นโคกระบือ ที่เกิด หรือเลี้ยงในประเทศไทยอย่างน้อย 2 เดือน เลี้ยงในฟาร์มปลอดโรค ปากและเท้าเปื่อย ที่กรมปศุสัตว์รับรอง และได้รับวัคซีนป้องกันโรคปากและเท้าเปื่อยอย่างน้อย 14 วัน ระบุวันฉีดในเอกสารแนบใบรับรองสุขภาพสัตว์

2.โคกระบือไม่แสดงอาการของโรคลัมปีสกิน และได้รับการฉีดวัคซีนป้องกัน ลัมปีสกิน ระหว่าง 2 เดือน ถึง 1 ปีที่คอกกักกันสัตว์ ระบุวันฉีดในเอกสารแนบใบรับรองสุขภาพสัตว์เอกสารแนบใบรับรองสุขภาพสัตว์

3.ต้องผ่านการสุ่มตรวจสารเร่งเนื้อแดง เบต้าอะโกนิสต์ ด้วยวิธี strip test 2 ครั้ง ในอัตราร้อยละ 5 ต่อการขนส่ง โดยครั้งที่ 1 ตรวจก่อนขึ้นรถบรรทุกที่คอกกักสัตว์ และครั้งที่ 2 ก่อนออกจากประเทศไทยที่ด่านกักกันสัตว์ชายแดน ระบุ วันที่ตรวจในเอกสารแนบใบรับรองสุขภาพสัตว์

4.ปลอดโรคแท้งติดต่อและวัณโรค 1 ปี ผ่านการตรวจโรค และให้ผลลบ ก่อนส่งออก

5.สัตว์ต้องได้รับการพ่นยาฆ่าแมลงด้วยสารไพรีทรอยด์สังเคราะห์ 7 วันก่อนส่งไปยังเวียดนาม

6.โคกระบือทุกตัวต้องติดเบอร์หูเพื่อระบุตัวตนและตรวจสอบย้อนกลับได้

7.ต้องได้รับการกักและสังเกตอาการอย่างน้อย 28 วันที่คอกกักกันสัตว์

8.ขอใบรับรองสุขภาพสัตว์ (Veterinary Health Certificate) ของกรมปศุสัตว์ที่ลงนามโดยเจ้าหน้าที่ด่านกักกันสัตว์และตราประทับ

9.บันทึกการควบคุมการขนส่งระหว่างไทยและลาว (Minute of movement control) โดยระบุจำนวนโคและกระบือ หมายเลขปิดผนึกของไทยและลาว และทะเบียนรถที่ใช้ในการขนส่งจากลาวไปเวียดนาม

10.อยู่ในรายชื่อฟาร์มปลอดโรคปากและเท้าเปื่อยที่กรมปศุสัตว์ส่งรายชื่อและกรมสุขภาพสัตว์เวียดนามให้การยอมรับ โดยระบุที่อยู่และจำนวนสัตว์อย่างชัดเจน

11.ในการส่งออกแต่ละครั้ง ทันทีที่ส่งสัตว์ออก กรมสุขภาพสัตว์เวียดนามให้ด่านกักกันสัตว์ที่ส่งออกสแกนเอกสารใบรับรองสุขภาพสัตว์และแจ้งข้อมูลผ่านทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ โดยกรมสุขภาพสัตว์เวียดนามจะดำเนินการให้นำเข้าเฉพาะสัตว์ที่กรมปศุสัตว์แจ้งผ่านทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิส์เท่านั้น

ทั้งนี้กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบหลักด้านสุขภาพสัตว์ และความปลอดภัยด้านสินค้าปศุสัตว์ ได้ดำเนินงานในการตรวจสอบ ควบคุม และกำกับดูแลกระบวนการผลิตสินค้าปศุสัตว์ ครอบคลุมตลอดห่วงโซ่การผลิตตั้งแต่ฟาร์มถึงโรงเชือดชำแหละและแปรรูป เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้บริโภคสินค้าปศุสัตว์ที่ปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่นต่อประเทศคู่ค้า ในกระบวนการผลิตสินค้าปศุสัตว์ของประเทศไทย จากการดำเนินการอย่างเป็นระบบ ตามขั้นตอนที่เป็นมาตรฐานสากล ด้วยความเข้มงวดต่อเนื่องมาโดยตลอดทำให้ได้รับการยอมรับจากประเทศคู่ค้าหลายประเทศทั่วโลก

โดยในส่วนของอุตสาหกรรมการผลิตโคเนื้อ กรมปศุสัตว์มีการสนับสนุน ควบคุมและกำกับดูแลคุณภาพมาตรฐานการเลี้ยงโคเนื้อตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ให้เป็นไปตามมาตรฐานฟาร์มปลอดโรค (GFM) มาตรฐานฟาร์มเลี้ยงสัตว์ (GAP) รวมไปถึงการรับรองฟาร์มปลอดการใช้สารเร่งเนื้อแดง ตลอดจนมาตรฐานโรงฆ่าสัตว์และสินค้าปศุสัตว์ เพื่อสร้างความมั่นใจและดูแลความปลอดภัยของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ