ไทยถกสหรัฐ ดันต่ออายุ GSP-ปลดบัญชีประเทศที่จับตามอง ด้านทรัพย์สินทางปัญญา

ไทยถกสหรัฐฯ ดันต่ออายุ GSP

ไทยถกสหรัฐ ดันเร่งต่ออายุโครงการ GSP ให้ผู้ส่งออกไทยและผู้นำเข้าสหรัฐ ยังคงได้รับประโยชน์และแต้มต่อทางการค้า ขอให้ถอดไทยออกจากบัญชีประเทศที่ถูกจับตามอง (WL) ด้านทรัพย์สินทางปัญญา ด้านสหรัฐอยู่ระหว่างเสนอร่างกฎหมายต่ออายุโครงการ GSP พร้อมจับมือแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านแรงงานระหว่างกัน

วันที่ 15 กันยายน 2566 นายรัชวิชญ์ ปิยะปราโมทย์ รองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ตนเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสไทย-สหรัฐอเมริกา ภายใต้กรอบความตกลงการค้าและการลงทุนไทย-สหรัฐ (Trade and Investment Framework Agreement : TIFA) เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2566 ณ สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา โดยมีนายธานี แสงรัตน์

เอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน พร้อมด้วยผู้แทนจากกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และกระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วมการประชุม ฝ่ายสหรัฐ มีนางซาราห์ เบียนคิ รองผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา Ambassador Sarah Bianchi เป็นประธานเปิดการประชุม

การประชุมครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสอันดีที่ได้กระชับความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างกัน หลังจากที่ไม่มีการประชุมมากว่า 4 ปี เนื่องจากสถานการณ์โควิด โดยไทยได้ขอให้สหรัฐเร่งรัดต่ออายุโครงการ GSP ซึ่งสิ้นสุดไปเมื่อปี 2563 เพื่อให้ผู้ส่งออกสินค้าไทยและผู้นำเข้าสหรัฐ ยังคงได้รับประโยชน์และแต้มต่อจากโครงการนี้

ด้านสหรัฐแจ้งว่า ยังอยู่ระหว่างการเสนอร่างกฎหมายต่ออายุโครงการ GSP ต่อรัฐสภาของสหรัฐ และอาจมีการปรับเพิ่มเงื่อนไขเรื่องการคุ้มครองแรงงาน สิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน หลักนิติธรรม และการต่อต้านทุจริต ไว้ในโครงการ GSP ที่จะต่ออายุใหม่

นอกจากนี้ ไทยได้ขอให้สหรัฐพิจารณาถอดไทยออกจากบัญชีประเทศที่ต้องจับตามองด้านทรัพย์สินทางปัญญา (Watch List : WL) เนื่องจากในรอบปีที่ผ่านมา ไทยมีพัฒนาการด้านการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาที่ดีและเข้มข้นขึ้น รวมทั้งยังได้จัดทำแผนงานด้านทรัพย์สินทางปัญญาในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ซึ่งสหรัฐได้ตระหนักถึงพัฒนาการของไทยเป็นอย่างดี

ไทยถกสหรัฐฯ ดันต่ออายุ GSP

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้หารือเรื่องการเพิ่มความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาประเทศที่สามแอบอ้างใช้แหล่งกำเนิดสินค้าจากไทย เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดของสหรัฐ (anticircumvention) และการปรับปรุงมาตรฐานการคุ้มครองแรงงาน ซึ่งสหรัฐเห็นถึงความพยายามของไทยในการยกระดับการคุ้มครองแรงงาน ผ่านการปรับปรุงกฎหมายด้านแรงงาน โดยทั้ง 2 ฝ่ายตกลงที่จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์และทำความเข้าใจระหว่างกันต่อไป

ทั้งนี้ ในช่วง 7 เดือน (ม.ค-ก.ค. 2566) การค้าระหว่างไทยและสหรัฐ มูลค่า 38,707.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยส่งออกไปสหรัฐ มูลค่า 26,905.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และไทยนำเข้าจากสหรัฐ มูลค่า 11,801.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง และเครื่องโทรสาร และสินค้านำเข้าสำคัญ ได้แก่ น้ำมันดิบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และเคมีภัณฑ์